180 days before we break up | บทที่ ๒ เจ้าสาวจำเป็น




180 days before we break up
บทที่ ๒ เจ้าสาวจำเป็น



“ใจเย็นก่อน ใจเย็นท่านแม่ข้าแค่เปรยเล่นบอกท่านเฉยๆ วะ

“อู๋ ซื่อ ชวิน!

“ใครๆ ก็ชอบเรียกชื่อข้าอยู่เรื่อย ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งทำเป็นมองทางอื่นไม่ได้หรือ ช่วยข้าก่อนเถิดไม่อย่างนั้นลูกชายคนเดียวของท่านได้เหลือแต่ชื่อจริงอย่างที่คนเขาชอบเรียกกันแน่! ใจเย็นท่านแม่ ข้าบอกให้ท่านจิบชาก่อนสักหน่อยอย่างไรเล่า เราจะได้คุยเรื่องสะ

“เจ้าบอกให้แม่เลิกหาหญิงสาวมาให้เพราะมีคนรักอยู่ก่อนแล้วจะแต่งงานกันอย่างนั้นรึ!

พับผ่าฟ้าได้แล่บกลางบ้านน่ะสิ!

ฮุ่ยหมิง สะบัดพัดหวังให้ลมเย็นๆ ดับอารมณ์ร้อนกรุ่นในอกนางลงนัก กลางห้องโถงของบ้านสกุลอู๋โอ่อ่าแถมยังโล่งโปร่งสบายที่สุด มองเลยออกไปนอกหน้าต่างหรือก็เห็นแต่ทิวทัศน์น่ามองทั้งสิ้น ทว่าบัดนี้ไม่ว่าอะไรก็ทำให้หล่อนสุดจะโกรธไปเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าของลูกชายเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ตรงข้าม คั่นกลางด้วยสามีที่ดูท่าจะไม่ทุกข์ร้อนสักนิดทั้งที่เรื่องที่ซื่อชวินเพิ่งพูดนั้นมันใหญ่เสียยิ่งกว่าเรื่องใด!

...รู้สึมลมจับหน้าอย่างไรพิลึก มือยังไม่หยุดสะบัดพัดพอๆ กับที่ฮุ่ยหมิงยังจำได้ว่าซื่อชวินบอกว่าจะ แต่งงาน นั่นแหละ ไม่พอไม่พอเท่านั้น ซื่อชวินยังบอกอีกว่าท่านแม่จะต้องชอบสะใภ้คนนั้น แถมบอกให้เลิกพาลูกเพื่อนบ้านใดมาดูตัวได้แล้วเพราะ ลู่หาน ว่าที่สะใภ้ น้อยใจจะร้องไห้ร่ำๆ

หล่อนตกใจก็เพราะสะใภ้ที่ว่าชื่อ ลู่หาน นั่นแหละถูกเผง!...

“ข้าไม่ได้โกหก พูดจริงทุกคำว่าจะแต่งงานกับลู่หาน ข้าหาฤกษ์ดีมาแล้วด้วย ท่านแม่สะดวกวันใด ท่านพ่ออยากเชิญแขกมาเท่าไรก็จัดหาได้ตามใจชอบ อะไรกัน หรือท่านแม่ไม่ชอบสะใภ้คนนี้อย่างนั้นหรือ?” อู๋ซื่อชวินแสร้งพูดราวกับกังวลนักหนา เลียบๆ มองๆ แม่ตนแล้วเสริม “ก็ได้ หากท่านอยากให้ข้าแต่งกับลูกคุณหนูที่ดีแต่หิ้วเด็กรับใช้ให้คอยถือของมากกว่าลู่หานที่ท่านคุ้นเคยมาแต่เด็กข้าก็จนปัญญา”

“มากไป มากไปแล้วซื่อชวิน” เป็น อู๋หรง เองหรอกที่แอบเอียงตัวก่อนกระซิบบอกเจ้าลูกชายเบาๆ ขณะลอบมองสีหน้าของภรรยาเพียงคนเดียวไปพร้อมกัน เขากะแอมไอ ดูรู้เต็มอกว่านี่เป็นละครฉากใหญ่ที่ซื่อชวินจงใจเล่นขนาดไหน มีก็แต่ฮูหยินคนเดียวที่มองไม่ออกจนเขาอยากเอามือก่ายหัว “พูดมากกว่านี้มันจะพิรุธ”

“ก็กำลังจะคล้อยตามแล้วท่านพ่อ” ใช่ ท่านแม่น่าชั่งใจน่าดู ลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านแกล้งทำหน้าหน่ายสุดแสนจะหนักใจแล้วเอ่ย การเสี่ยงถามออกไปแบบนี้ ไม่ต่างเลยกับการโยนหัวก้อยขึ้นกลางอากาศ “ว่าอย่างไร ท่านแม่อยากให้ข้าทำแบบไหน”

ออกหัว เขาคงได้ทุกข์เพราะถูกจับคู่กับใครอื่น

“เจ้าบังคับให้แม่เลือกหรือ?”

ออกก้อย เห็นทีจะได้เพื่อนเป็นเมียหลอกๆ

“เพราะท่านบังคับให้ข้าเลือกก่อน” เลือกตามใจไม่ได้

“ไม่ต้องรีบร้อนนักหรอกฮูหยิน หากเจ้าไม่ถูกใจ ซื่อชวินเองก็ยังไม่ต้องตาใคร เราก็แค่ไม่ตะ

“เอาฤกษ์มา”

และเจ้าเหรียญนั้นมันออกก้อยเนี่ยสิ

“ท่านแม่หมายความว่า

“ถ้าหญิงสาวที่แม่หาให้เจ้าไม่ชอบ หญิงที่เจ้าเลือกไว้แม่ก็ไม่อยากได้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็แต่งงานกับลู่หานไปแล้วกัน เฮ้อ! มันน่าตีนัก หากเจ้าเป็นเด็กตัวน้อยๆ แม่จะฟาดให้น่องลายเลยเถิด แล้วอย่างไร? บอกว่าไปหาฤกษ์มาแล้วอย่างนั้นรึ พ่อเขาเล่าเจ้าไปแบกหน้าไปพบหรือยัง เจ้ามันน่านัก มันน่านักเชียวชวิน!

สาบานได้ ว่าหลังสิ้นประโยคหนักอกยาวพรืดนั่นเขากับท่านพ่อหันหน้ามองกันโดยไม่ได้นัดเชียว ใช่ เจ้าเหรียญนั่นออกก้อย ทว่าซื่อชวินไม่ได้คิดว่าท่านแม่จะยอมรับและเลือกทางนี้โดยไม่ต่อรองคำใดนอกเสียจากให้ส่งฤกษ์ดีให้ เขานึกว่าจะโดนตีสักที รึไม่ก็บอกลั่นกลางบ้านว่าเจ้าบ้าหรือก่อนปฏิเสธว่าไม่

เขาคิดว่าจะได้เห็นภาพแบบนั้นมากกว่าอีก ใครจะไปคิด ใครมันจะคิด

ทว่าเขาเพียงแต่อยากเกริ่นถามเรื่องสำคัญที่เป็นชนวนเหตุก่อนวิวาห์จะอาละวาดเสียหน่อย คุณชายตระกูลอู๋กระแอมไอ เขาแสร้งสงวนทีท่าพลางยืดหลังตรงเป๊ะ โพล่งถามหนักแน่นว่า เรื่องนั้น ที่ท่านแม่ชอบโวยอยู่บ่อยๆ มันไม่หนักอกหนักใจคนแก่แล้วหรืออย่างไร

“แต่ลู่หานมีหลานให้ท่านอุ้มไม่ได้หรอกนะท่านแม่”

มือนางชะงักกึก กระดาษพัดสีแดงชาดพลันสะดุด

ชั่วพริบตานั้นฮุ่ยหมิงเผลอมองหน้าสามีทันควัน ใครจะไปนึกว่าซื่อชวินที่ทำท่าไม่สนใจทุกคำที่เธอพูดยามเอ่ยถึงเรื่องการมัดมือชกจะจับแต่งงานนั้น จะจำได้กันเล่าว่าต้นเหตุที่ว่าก็เพราะหล่อนอยากอุ้มหลานตัวกลมแก้มยุ้ยน่ะ ฮูหยินสกุลอู๋ถอนหายใจ ไม่ได้ดูหนักอกอะไรนักพลางเอ่ยขึ้นดื้อๆ

“อยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกัน แต่งกันไปเดี๋ยวก็มีลูกเข้าสักวันได้เองนั่นแหละ!

“ลอยลมแล้วท่านแม่ ข้าว่าท่านทำใจตั้งแต่เนิ่นๆ เลยจะดีกว่าว่าข้ากับลู่หานจะไม่มี

“มีลูก?” หล่อนโบกพัดพลางลุกยืนเต็มความสูง นั่งนานเสียจนปวดเข่ามันฟ้องนักว่าเริ่มแก่ ฮุ่ยหมิงโคลงหัวทำทีคล้ายปลงตกซึ่งไม่ปฏิเสธเลยว่าหล่อนน่ะปลงจริงๆ! “จะลูกหมาลูกแมวรึลูกอะไรก็แล้วแต่ใจเจ้าเถิดซื่อชวิน กลางเดือนห้า กลางเดือนหน้า ไม่เร็วไม่ช้า หรือว่าจะเลือกอื่นดีนะ”

“ท่านแม่

“กลางเดือนหน้าเลยแล้วกัน!

……

“เจ้าจะได้มีเมียเป็นตัวเป็นตนเสียที”

ไม่รอให้ค้านสักคำท่านแม่ก็เดินลิ่วเอาพัดตบอกตัวเองไปตลอดทางแล้ว!

ซื่อชวินผินหน้ามองนายใหญ่ของบ้านฉับพลัน รอยยิ้มจางของคนแก่กว่ามีศักดิ์เป็นพ่อพอจะทุเลาลงได้ ท่านพ่อตบไหล่เขาเบาๆ พลางบอกว่า เจ้ายังไม่รู้จักนิสัยแม่อีกหรือ ว่าจบก็หัวเราะลั่นก่อนสาวเท้าไปทางเดียวกันมิวายจะวุ่นเรื่องงานแต่งกำมะลอจนหัวหมุน

จะบอกท่านแม่อย่างไรดี

ไม่ใช่ว่าจะได้เมียเป็นตัวเป็นตน แต่จะได้เพื่อนเป็นเมียจอมปลอมต่างหากล่ะ



/



โบราณว่าไว้ว่าพิธีแต่งงานต้องยึดหลักสามหนังสือหกพิธีการ

หากจะถามต่อว่ามันเกี่ยวอย่างไรหรือกับเรื่องที่ลู่หานกำลังต่อรองกับซื่อชวินก็ต้องบอกตามตรงว่าหาได้เกี่ยวไม่ แต่จะว่าไปก็ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวซะทีเดียวเมื่อไรเล่า ก็ไอ้เรื่องหยุมหยิมอย่างพิธีการมันกำลังทำให้ลู่หานตกลำบากกับ ว่าที่สถานะใหม่ ในบ้านตระกูลอู๋จะแย่

คล้อยหลังสองสัปดาห์หลังจากร่างสัญญาที่หัวใจไม่ได้ข้องเกี่ยวแล้วนั้น อู๋ซื่อชวินก็ขยันทำให้ลู่หานปวดหัวตุบไม่เว้นว่าง แบกหน้าแสนทึ่มเอาฤกษ์ดีมาเทียบถึงหน้าบ้าน ควงแขนป้าอู๋พร้อมเถ้าแก่เพื่อสู่ขอเสร็จสรรพ ไหนเล่ายังกระซิบบอกเรื่องสินสอดจนหูเต้น รวมกันแล้วรวดเร็วเสียยิ่งกว่าฝันหนึ่งคืนเสียด้วยซ้ำ

แต่เรื่องที่มันเป็นปัญหาสำหรับลู่หานที่สุด แท้จริงแล้วเล็กจิ๋วแต่กวนใจนักกว่าสิ่งใด จิตรกรตัวน้อยเท้าคางกับแขนพลางเบือนหน้าหนีไม่อยากมองหน้าซื่อชวินให้โมโห ซ้ำยังไม่อยากมองด้วยว่าเจ้านั่นขยันเอาแบบร่างของสิ่งใดมานำเสนอ กระตือรือร้นเสียจนลู่หานชักไม่มั่นใจว่าแต่งงานที่ว่าจะต้องแนบเนียนปานนี้เลยหรือ

“ข้าเอามาให้ดู เจ้าก็เลือกมาสักทีเถอะน่าลู่หาน” เพราะซื่อชวินใกล้หมดความอดทนแล้วน่ะสิ เขาเลื่อนหนังสือไปวางตรงหน้า บังคับให้เจ้าคนวาดรูปหันกลับมามองแล้วเอ็ด “หรืออยากให้ข้าเลือกให้?”

“ก็ข้าไม่อยาก

“พูดอะไรได้ยินไม่ชัด เจ้าว่าอีกทีสิ”

“ก็ข้าไม่อยากสวมผ้าคลุม

“หรือเจ้าจะให้ข้าเป็นคนสวมแทนล่ะ คนสู่ขอน่ะมันข้า คนที่ต้องนั่งเกี้ยวเข้าบ้านน่ะมันเจ้า พูดง่ายๆ ให้เข้าใจง่ายอีกหน่อยคือข้าเป็น ผัวส่วนเจ้าเป็น เมียให้เจ้าสวมสิถึงจะถูก ใครเขาให้เจ้าบ่าวสวมผ้าคลุมหน้ากันเล่า เจ้าอยากเป็นคนเลิกผ้าบนหัวข้าหรือ? เขย่งเท้าจนสุดยังไม่รู้เลยเถิดว่าจะเอื้อมถึงหัวข้ารึเปล่า อโอ๊ย

แสลงหูนัก พูดออกมาได้หน้าซื่อเลยนะไอ้คนสมองถั่ว!

“นี่แน่ะ! ฟาดไปสักทีสิเจ้าจะได้สติสักหน่อย” ลู่หานฟาดด้วยสันหนังสือจนดังป้าบเลยเถอะ ร่างเล็กหน้าบึ้ง สำหรับลู่หานแล้วผ้าคลุมหน้าผืนใดก็เหมือนกันทั้งสิ้น หากตรงหน้าซื่อชวินเป็นหญิงสาวสักคนนางคงตอบเขาได้หน้าชื่นกว่านี้แน่ยามเขาถามหา แต่ลู่หานไม่ใช่ อย่างไรก็ไม่ใช่สักหน่อยจะให้ยิ้มรับหน้าบานได้หรือ “ข้าจะเป็นผัวบ้างไม่ได้หรือไง ไอ้ผ้าคลุมหน้านี่ยุ่งยากจะตายชัก อยากเลือกอะไรเจ้าก็เลือกไปเถอะ”

“อย่างเจ้าน่ะหรือจะเป็นผัวข้า ซื่อชวินกลืนคำพูดลงคอพร้อมน้ำลายอึกใหญ่ ดีหน่อยที่หางตามันเหลือบเห็นลู่หานตวัดมองกันหน้าตูมเขาถึงได้หนีทัน มือหนาปิดหนังสือฉับ โยนเรื่องผ้าคลุมหน้าทิ้งก่อนเอ่ย “เลิกทำหน้าตูมเป็นดอกบัวยังไม่บานเสียที แต่งงานกับข้าไม่ดีหรือ อู๋ซื่อชวินเพื่อนเจ้าน่ะใช่จะขี้เหร่นะ”

“ยอตัวเองให้ข้าฟังก็ได้รึ”

“ซ้อมเอาไว้ก่อน อยู่ต่อหน้าท่านแม่ข้าจะป้อจนเจ้าทำหน้าตื่นเป็นกระต่ายเชียว”

นี่สิสมญานามของเสือซ่อนเล็บน่ะ

พูดหว่านล้อมเก่ง ขยันทำหน้าทำตาที่รู้เต็มอกว่าจะทำให้คนมองไขว้เขว อู๋ซื่อชวินบางคราวแล้วคล้ายจะเป็น เจ้าทึ่ม ที่บื้อแต่ไม่ได้ซื่อ ทว่าบางครั้งก็เจ้าเล่ห์ผิดหูผิดตา ลู่หานแกล้งเขม่นใส่ บอกให้รู้ตรงๆ ว่าลูกไม้พรรณนี้น่ะใช้ไม่ได้กับคนที่เห็นนิสัยกันมาตั้งแต่ตัวเท่ามดหรอก

“คิดว่าข้าจะคล้อยตามเจ้าอย่าง นาง หรือ”

ได้ผลทันตา อู๋ซื่อชวินเงียบปากเหมือนไม่เคยจ้อจนดูตลก ทำหน้าประดักประเดิดไปไม่ถูกแค่เพราะลู่หานกล่าวถึงใครบางคน สะท้อนให้ทราบในใจไม่เบาว่าอย่างไรเสียเจ้าเสือตัวโตต่อให้เก่งเท่าไรก็ถูกถอดเขี้ยวเล็บได้เหมือนกัน มือน้อยพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อย ชุดแต่งงานสีแดงชาด ลวดลายงามหยด ผ้าคลุมหน้า ทุกรายละเอียดในวันสำคัญครบถ้วนเช่นนี้ หากคนนั้นไม่ใช่ลู่หาน อดคิดไม่ได้เลยว่าคงดีใจจนยิ้มเต็มแก้มแน่

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าพูดบ้างหรือยัง แต่ถึงไม่บอกอย่างไรก็คงได้ยินถึงหูบ้างใช่ไหมล่ะ”

ข่าวหมั้นหมาย ซ้ำยังเตรียมแต่งงานของหัวหน้าองครักษ์ในรั้ววังกับจิตรกรฝีมือดีคนสนิทองค์ชายแปดเชียวนะ ดังกระฉ่อนอย่างที่อยากให้เงียบก็เหยียบไม่มิดหรอก เช่นนั้นแล้วจะไม่ลอยไปกระทบหูเลยคงเป็นไปไม่ได้ ซื่อชวินพยักหน้ารับ ยังคงไร้แววกังวลซ้ำเขายังยักไหล่มอบให้

“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก รีบเลือกผ้าคลุมหน้ากับชุดแต่งงานได้แล้วลู่หาน”

“ข้าเลือกอยู่แล้วน่า ไม่ปล่อยให้แม่เจ้าขายหน้าเพราะข้าหรอก รีบร้อนนักคนอะไร จะพิธีพิถันไปมากทำไมกัน อะไรเจ้าว่าดี เจ้าว่าชอบก็เลือกแทนข้าเสียก็สิ้นเรื่อง แต่งงานกันปลอมๆ ไม่ด้ะซ ซื่อชวิน!

“พูดดังไปทำไมเล่า รู้กันสองคนแค่เจ้ากับข้าก็พอว่างานแต่งที่ว่าของเรามันเรื่องหลอกเด็กน่ะ” คนฟังปรามเสียงเข้มยื่นมือไปปิดปากแทบไม่ทัน เขาทำเสียงชู่บอกให้ลู่หานเงียบลง ทว่ามีหรือคนช่างเถียงต่อปากต่อคำเก่งเป็นที่หนึ่งจะฟัง อู้อี้เถียงมุบมิบจนปากขยับไปทั่วมือเขาแล้วเถิด “มือข้าเค็มดีไหมล่ะ เถียงอะไรของเจ้า จะบอกให้ว่าข้าเพิ่งไปเข้าห้องน้ำก่อนมาเจอเจ้าด้วย แถมยังจับ อะไรๆ ซะจนแน่น จำไม่ได้ว่ามือได้ละ

กัดให้ขาดเลย!

“ระวังจะไม่มี อะไรไว้สืบสกุลเถอะ! 

มันเขี้ยวนัก เจ้าคนชอบตีหน้ายุ่งทำให้ซื่อชวินระเบิดหัวเราะได้ลูกใหญ่ ซ้ำยังเผลอยื่นมือไปยีหัวลู่หานไม่หยุดด้วยซ้ำ ปอยผมหน้าม้ายาวกว่าเก่าคลอเคลียข้างหน้ายังสะบัดแรงไม่เท่าตอนลู่หานเบือนหน้าหนีเขาเลย ทว่าซื่อชวินขันนัก กว่าจะหยุดได้ลู่หานก็พับมุมกระดาษยื่นหนังสือเจ้ากรรมมาให้เสียแล้ว

“อันนี้ อันนั้น อันนู้น แล้วก็อันโน้น”

“เลือกให้ข้าบ้างสิ”

“เจ้าก็เลือกเองสิ เป็นเจ้าบ่าวไม่ใช่หรือ” มีพูดกระทบ ไม่เบาเลยเจ้าตัวจิ๋วนี่

องครักษ์ตัวยักษ์กระตุกยิ้ม กอดอกสมอ้างยอมรับไม่มีปฏิเสธ กวาดตามองชุดแต่งงานที่ลู่หานเลือกช้าๆ ไล่สายตามองทุกรายละเอียดที่คนไม่เต็มใจแถมยังไม่อยากเล่นละครฉากใหญ่ชี้นิ้วบอก ต่อให้ผินหน้าทำราวกับไม่อยากมอง เฉไฉบอกปัดว่ารำคาญ แต่กลับไม่เคยทิ้งขว้างทุกความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ เลยสักครั้ง

ยากไม่เบาเลยสำหรับซื่อชวินที่ต้องกลั้นยิ้ม เขาผิวปากรับอากาศกำลังสบายในต้นเดือนห้า พาลให้นึกไปไม่ต่างว่าเราทั้งคู่กำลังถอยหลังเข้าสู่พิธีศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยกัน คนออกปากว่ารำคาญ บอกว่าเลือกได้แล้วแต่ยังมิวายดูไปเรื่อย ดู...ในหน้าที่เป็นส่วนของเจ้าบ่าว 

“เจ้าพูดถูก ข้าน่ะเจ้าบ่าว ส่วนเจ้าเองก็เป็นเจ้าสาวของข้า”

“ปลอมๆ” ลู่หานค้านเสียงใส ก่อนพูดเสียงค่อยถึงเรื่องคาใจเรื่องหนึ่งเบาๆ ยามมองซื่อชวินจดจ่อกับหนังสือตรงหน้าไม่ต่าง ยามนัยน์ตาเขาไม่ได้มองมาที่ตนและผลุบไปทางอื่น “ซื่อชวินนางเกลียดข้าไหม”

น้ำเสียงไม่มั่นใจเรียกให้ซื่อชวินสบตาเงียบๆ

……

ลู่หานไม่ได้ทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกให้เขากังวลหรอก ดวงหน้าชวนมองยังติดมองยิ้มขำขันเสียเต็มประดาด้วยซ้ำ คำตอบที่ซื่อชวินมั่นใจถึงได้ถูกเขาบอกไปทันทีที่ลู่หานถาม เขาบิดจมูกของจอมรั้นจนบู้บี้ บอกให้มั่นใจตรงนี้ผ่านทุกคำพูดและสายตาว่าไม่มีวัน

……

“ถามอะไร เพราะเป็นเจ้าหรอกจะเกลียดได้อย่างไร”

จิตรกรตัวน้อยระบายยิ้ม ลู่หานยื่นมือพลางยักไหล่มอบให้ซื่อชวิน เจ้าทึ่มนั่นมองมันอยู่ครู่เดียวก็รีบจับตอบ เขย่าไม่เบาขณะที่ลู่หานเองไม่ได้นิ่งเงียบแถมยังโวยใส่เสียงดังกลบเกลื่อนไปเรื่อย ประกาศคำประกาศิตที่ไม่ได้ดังนักหรอกแต่ก้องไปทุกอณูของความรู้สึกเพื่อเตือนให้เราสองคนระลึกรู้เอาไว้เสมอ

“เช่นนั้นแล้วเจ้าพร้อมหรือยังล่ะ”

“เล่นลิ้นเก่งนัก พร้อมอะไรของเจ้า”

“นับถอยหลังก่อนเราจะเลิกกันอย่างไรเล่าเจ้าทึ่ม”

ก่อนพิธีแต่งงานจะเริ่ม หลังคืนเข้าหอผ่านพ้น

ก่อนหนึ่งร้อยแปดสิบวันที่เราจะหย่ากัน





/



หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับพ่อแม่ สามคำนับกันและกัน

เรื่องทำนองนี้นั้น ผ่านหูลู่หานมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ตั้งแต่ไหนแต่ไร ยามละแวกบ้านรอบข้างมีงานมงคลประดับประดาและตกแต่งไปด้วยสีแดงชาด ห้อยโคมลอยระย้าก่อนจุดไฟอวดแสงสีระเรื่อในยามค่ำคืนให้บ้านอื่นทราบ รวมถึงคำเทียบเชิญให้ร่วมงานมงคล เป็นหนึ่งในแขกเรื่อสำคัญและสักขีพยานในความรักที่กำลังงอกเงยและสาบานสัตย์ว่าจะร่วมชีวิต สิ่งเหล่านั้นใช่ว่าลู่หานจะไม่เคยได้รับเกียรติเสียเมื่อไร

เพียงแต่ลู่หานไม่ได้คิดว่าเวลาสองอาทิตย์ก่อนฤกย์ดีจะมาถึงนั้น เรื่องทั้งหมดที่เจ้าทึ่มอู๋ซื่อชวินแทบจะกอดขาวอนขอจะเกิดขึ้นกับตนเองจริงๆ เข้าให้ ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ลู่หานจะนึกคิดรึจินตนาการถึงภาพตนเองในงานแต่ง ไม่เคยนึกออกเสียทีว่ายามตนก้าวเท้าผ่านประตูบ้านใครสักคน จะชวนให้รู้สึกแบบใดบ้าง

ก่อนเพิ่งเข้าใจในวินาทีนี้เต็มอก ยามนั่งอยู่บนเตียงสวมผ้าคลุมหน้ารอเจ้าบ่าว

“บ้านักข้ามันบ้าแท้ๆ

ฝ่ามือน้อยมันถึงได้ชื่นเหงื่อเสียจนต้องกุมเอาไว้แน่น ต่อให้ ว่าที่เจ้าบ่าว จะเป็นเพื่อนสนิทอย่างอู๋ซื่อชวินก็ใช่ว่าจะช่วยทุเลาความกระสับกระส่ายในใจได้ซะเมื่อไรกัน กลับกันยิ่งกังวลหนักนัก พิธีหมั้นนั้นผ่านพ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับเกี้ยวรับตัวเจ้าสาวที่ทำเอาลู่หานงุ่นง่านจนอยากจะหยิกซื่อชวินให้เนื้อเขียวนั่นก็ด้วย พิธีสำคัญหนึ่งเดียวที่ลู่หานไม่อยากให้เกิดและทำให้เต้นเป็นเจ้าเข้าจะเป็นอะไรหากไม่ใช่ เข้าหอ เล่า

“เสี่ยวลู่”

“ทท่านพ่อ

“เจ้าตัวน้อยนักวาดของพ่อกลัวเป็นด้วยหรือ”

คำพูดนุ่มนวม ใบหน้าแย้มยิ้มใจดี ทุกสิ่งที่รวมเป็น ลู่จิน ล้วนทำให้ลู่หานสงบลงทั้งสิ้น เจ้าลูกกวางตัวน้อยขยับตัวเข้าหาพลางซุกหน้ากับแขนของคนเป็นพ่อแน่น ในห้องหอของบ้านตระกูลอู๋เวลานี้มีเพียงลู่หานกับท่านพ่อสองคนเท่านั้นก่อนฤกษ์ดีส่งตัวสำคัญจะมาถึงในไม่กี่อึดใจ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเพียงแค่ได้ยินท่านพ่อเรียกชื่อเบาๆ อย่างเช่นตอนยังเล็กจะทำให้ลู่หานกลายเป็นคนขี้อ้อนขึ้นมาได้ดื้อๆ ปานนี้

“ข้ากลัวซะที่ไหน ข้าแค่กังวลว่าอู๋ซื่อชวินจะทำให้ขายหน้าอะไรอีกต่างหาก”

ไอ้คนสมองกลับที่ตวัดผ้าม้านในเกี้ยวแล้วยักคิ้วเย้ย เจ้านั่น!

“แต่มือเจ้าสั่น โกหกซะแล้วยังเฉไฉอีกหรือ” ลู่จินแกล้งปรายตามอง

เขาหัวเราะเบาๆ ยามลูกชายคนเดียวรีบชักมือออก ชายวัยกลางคนแต่ยังดูดีไม่เปลี่ยนระบายยิ้ม ด้านนอกเวลานี้เริ่มมืดแล้ว โคมไฟรอบเรือนอวดแสงแดงเรื่อสมเป็นพิธีมงคลนัก ผ้าริ่วแดงห้อยทั่วบ้านหลังใหญ่ของตระกูลอู๋ช่างเอิกเกริกสมฐานะ เด็กรับใช้วิ่งวุ่นตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ชักจะพาลให้เวียนหัว มีเพียงแต่เรื่องของเจ้าลูกชายคนเดียวหรอกที่ทำให้เขายังจดจ่อได้ถึงเพียงนี้

แก้วตาดวงใจเพียงดวงเดียวในชุดแต่งงานงามหยด

เสี่ยวลู่ตัวน้อยที่ใบหน้าเปื้อนสีในวันเก่า เจ้าคนช่างเถียงที่มือสั่นไม่หยุดคนนี้

“เจ้ามาสารภาพกับพ่อเองไม่ใช่หรือว่านี่เป็นเพียงละครฉากใหญ่ฉากหนึ่งเท่านั้น ไยต้องกังวลด้วยเล่าว่าซื่อชวินจะทำอะไรให้ขายหน้า รู้เอาไว้เลยเจ้าตัวแสบว่าพ่อเจ้าหูชาฟังคนนินทาจนชินไปเสียแล้วเรื่องมีลูกชายแต่แต่งออกนอกบ้านอย่างกับลูกสาวน่ะ นี่แน่ะ หลบหน้ารึ ไหนขอพ่อมองหน้าเจ้าหน่อยซิ”

“ละครฉากหนึ่งก็ใช่ ตแต่ ท่านพ่อ

“เหมือนแม่เจ้า” ดวงตา ปากกระจับ ปลายจมูก เหมือนเหลือเกิน

……

“ถอดแบบกันมาเชียว ยิ่งเห็นเจ้าในวันสำคัญอย่างนี้พ่อยิ่งคิดถึงแม่เจ้าจับใจ หากเขายังอยู่คงเข้ามากอดเจ้าแน่นแล้วน้ำตาคลอขอให้ไม่ไปไหนไกลแน่ หรือไม่ก็คงหยิบไม้มาตีเจ้าสักทีโทษฐานอยากลองเล่นเป็นนักแสดงตบตาคนทั้งเมือง แต่เสี่ยวลู่เจ้าหาต้องกังวลเรื่องใดไม่ เลือกแล้วจะมากังวลตอนนี้ไม่ช้าไปหรือ”

“ข้ารู้ดีว่ายามนี้ไม่สมควรจะต้องกังวลอะไรแล้ว”

……

“เจ้านั่นมาขอให้ข้าช่วย เขาบอกว่าหากป้าอู๋ลามือเมื่อใด ละครฉากนี้ก็จบลงเมื่อนั้น ข้ายังคิดอยู่จนกระทั่งตอนนี้ว่าข้าคงบ้าเต็มกลืนถึงได้ยอมตกลงเข้าง่ายๆ หากวันใดข้าถูกเตะหัวส่งกลับบ้าน ชาวบ้านเขาคงได้พูดกันหนาหูกว่านี้จนท่านพ่อปวดหัวแน่ว่าสุดท้ายข้าก็ไปไม่รอด ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ ข้าไม่อยาก

ไม่อยากสร้างเรื่องให้ท่านพ่อมากกว่านี้

คำพูดถูกกลืนลงอก สะท้อนคำสารภาพที่ซื่อชวินไม่รู้

ว่าที่เจ้าสาวเอียงหน้ารับมือ เมื่อท่านพ่อเกลี่ยแก้มกันด้วยความเอ็นดูเหลือล้น ต่อให้กี่ปีผ่านพ้น ไม่มีเลยสักครั้งเดียวที่ลู่หานจะถูกเอ็ดหรือตีจนขาลายโทษฐานดื้อเก่งนักรึทำให้ปวดหัว ชาวบ้านคนหาว่าลู่จินบ้าเต็มทนที่ยอมยกลูกชายให้แต่งออกบ้าน เขาทำเพียงยิ้มรับ เอ่ยชวนให้ร่วมงานยินดีเพราะรู้เต็มอกว่าเบื้องหลังงานมงคลแฝงไปด้วยข้อตกลงบางอย่างอย่างไรบ้าง เหตุผลอื่นนั้นขอเพียงเขารู้เต็มอกก็พอ

ลู่จินละมือออก เขาส่ายหน้าและยังยิ้มไม่คลาย เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาบอกให้เขารู้เต็มทีว่าใกล้หมดเวลาระหว่างตนกับลูกชายลงเสียแล้ว หากขาเขาก้าวพ้นประตูห้องเมื่อใด พรุ่งนี้คงไม่ได้ตื่นมาเจอหน้าเจ้าตัวแสบช่างวาดอยู่หน้าลานบ้านเหมือนเก่า และลู่จินรู้ดีว่าในเวลานี้เขาควรพูดเรื่องใดมากที่สุด

“หากเจ้าอยากช่วยเขาก็ช่วยให้เต็มที่อย่างใจเจ้าอยากเถิด วันใดละครเรื่องนี้ระหว่างเจ้ากับซื่อชวินจบลง ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีที่ไปซะเมื่อไรเล่า ประตูบ้านตระกูลอู๋ปิดลงแล้วอย่างไรล่ะ บ้านเรายังรอเจ้าไม่เปลี่ยน พ่อจะคิดเสียว่าเจ้าแค่อยากหนีเที่ยวดีไหมเล่า จำเอาไว้นะเสี่ยวลู่ กลับบ้านเรา กลับมานะลูก ละครที่เจ้าแกล้งเล่นจะจบลงอย่างไรพ่อไม่รู้ด้วยหรอก แต่เจ้ากลับบ้านได้เสมอรู้เอาไว้เล่า”

“ท่านพ่อ

“ยิ้มออกแบบนี้พ่ออวยพรเจ้าได้หรือยังหืม”

“แต่งจริงซะที่ไหน จำเป็นต้องอวยพรด้วยหรือ ท่านก็วะ

คนเป็นพ่อส่ายหน้า จำเป็นสิ จะไม่จำเป็นได้หรือ

“ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องอวยพร คำนับฟ้าดินก็ทำแล้ว คำนับพ่อแม่ก็ทำแล้ว เหลือเพียงแค่ส่งตัวเข้าหอก็เป็นอันเสร็จสิ้น ห้ามไม่ให้พ่ออวยพรเจ้าตอนนี้แล้วจะให้อวยพรตอนไหนเล่า ถือเสียว่าเป็นพรวิเศษให้เจ้าไม่ได้หรือ แต่งจริงแต่งหลอก พ่อเจ้าคนนี้ก็อยากอวยพรนักลู่หาน”

“เช่นนั้น” ลู่หานเงียบเสียงลง ปล่อยให้ท่านพ่อเอ่ยคำสัญหนักแน่นและจริงจัง ดีเสียอีก จะมีสิ่งใดดีไปกว่าการที่ท่านพ่ออวยพรให้จากใจจริงอีกเล่า “ท่านพ่อ

“ขอให้เจ้าและเขารักกันจนแก่เฒ่า”

ต่อให้นึกเถียงในใจว่าอย่างไรก็คงไม่มีวัน แต่ลู่หานก็ยังอดจะอุ่นวาบไปทั้งใจไม่ได้

……

และไม่รู้เลยว่า คำอวยพร จะแฝงความนัยใดเอาไว้

ลู่จินตบมือน้อยที่เคยเฝ้าดูมาแต่ตัวยังแดงแจ๋เบาๆ บัดนี้ใหญ่กว่าเก่าแต่ก็ยังนับว่าเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับมือตน ต่อให้ไม่มีอีกหนึ่งคนสำคัญในครอบครัวมาร่วมยินดี แม้จะมีแค่ลู่จินเพียงคนเดียวก็ใช่ปัญหาไม่ ชายวัยกลางคนอมยิ้ม อวยพรประโยคสุดท้ายที่เขารู้เต็มอกตั้งแต่ลู่หานลืมตาดูโลกว่าไม่ผิดจากความเป็นจริง

คงจะดีเขาแอบคิด

หากมีใครสักคนพร้อมโอบอุ้มลูกแทนเขาได้

“ขอให้เจ้าเป็นคนพิเศษสำหรับเขาเสมอ”

คนพิเศษที่มาพร้อมพรนับพัน

เป็นพรพันประการอย่างที่ลู่จินเคยได้รับ



/



“ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะได้แต่งงานอย่างคนอื่นเขา ข้า

“ท่านแม่อยากแคะหูนัก ซื่อชวินทำหน้าหน่ายสุดจะทน เขายกมือห้ามบอกเป็นเชิงให้ฮูหยินของบ้านเลิกพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาที่เขาได้ยินตั้งแต่พิธีช่วงเช้าเสียที โธ่เอ๊ย! จะให้นับนิ้วยังยกไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ ท่านแม่น่ะหรือยิ้มแป้นสะบัดพัดดีใจเสียยิ่งกว่าเขาที่เป็นเจ้าบ่าวอีกเถิด! “ท่านพูดมาตั้งแต่เช้าแล้วไม่รู้หรือ ข้าฟังจนจะท่องได้แล้ว ไหนบอกว่าฤกษ์ยามสำคัญเล่า หากท่านมัวแต่พูดมิวายข้าจะไม่ได้นอนกอดมะอ โอ๊ย!

“พูดจาฟังไม่ได้อะไรอย่างนั้นของเจ้าหือ!

“พพอแล้วท่านแม่!

“เจ้านี่มันขยันทำให้แม่ปวดหัวจริงเชียว!

ฮุ่ยหมิงน่ะหรืออยากยกมือก่ายหน้าผากนัก!

หากเจ้าลูกชายตัวดีเพียงคนเดียวไม่ได้สูงชะลูดจนหล่อนเอื้อมมือไม่ถึงล่ะก็คงได้มีบิดหูจนเขียวจ้ำกันสักทีแน่ ฮุ่ยหมิงถลึงตาเป็นเชิงปราม ท้องฟ้าที่เคยสว่างจ้าบัดนี้คล้อยลับมืดลงจนดาวระยิบทั่วฟ้าแล้ว ในอกคนเป็นแม่อดจะภูมิใจไม่ได้ บ้านตระกูลอู๋คึกครื้นเป็นพิเศษกว่าวันไหน ประดับประดาตกแต่งไปด้วยสีแดงสดรอบด้าน ทุกสิ่งล้วนบ่งบอกว่าพิธีแต่งงานได้เริ่มต้นและกำลังจะจบลงอย่างที่หล่อนวาดหวังมาตลอด

ทว่าซื่อชวินทำหน้าไม่รู้ร้อนเก่งนัก เก่งเสียจนฮุ่ยหมิงกลัวใจจะมีคนเอาไปพูดต่อลับหลังว่าลูกไม่เต็มใจแต่ง ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นซื่อชวินเองทั้งนั้นที่แบกหน้าเอาข้อต่อรองมาเสนอ พูดเสียงหนักแน่นมั่นใจเสียเต็มประดาว่า สะใภ้ คนนี้หล่อนจะต้องชอบกว่าคุณหนูคนใดที่เคยเทียบเชิญมาดูตัวถึงที่

ถูกของซื่อชวิน เพราะลู่หานเป็นสะใภ้ที่ฮุ่ยหมิงถูกใจเสียยิ่งกว่าใคร

เพียงแต่ฮุ่ยหมิงไม่มั่นใจ ว่าภายใต้ใบหน้าของลูกชายที่แสนเรียบเฉยนั้นจะจริงอย่างที่แสดงออกหรือไม่ หล่อนสบตากับสามีที่ยืนขนาบอีกข้าง ไม่ต้องพูดสิ่งใดก็คล้ายจะเข้าใจความรู้สึกกันได้ง่ายๆ เพียงมีเด็กมากระซิบบอกว่าเวลาสำคัญมาถึงแล้ว ยามได้มองซื่อชวินก้าวผ่านประตูห้องหอฮุ่ยหมิงจึงแทบอดยิ้มไม่ได้

ความรู้สึกฟูฟ่องเต็มอกและนึกขันในอกจะบ้าเมื่อเห็นว่าซื่อชวินเลิ่กลั่กทำหน้าไม่ถูกเมื่อถูกญาติสนิทและเพื่อนที่คุ้นเคยหยอกจนหน้าแดงก่ำ สลับกันมองว่าที่สะใภ้ที่นั่งบนเตียงแล้วยิ่งเอ็นดูจับใจ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงฮุ่ยหมิงเห็นลู่หานอมยิ้มเสียจนแก้มตุ่ย คล้อยหลังเมื่อหลายคนเริ่มออกจากห้อง ลู่จินที่ถอยเท้าหลังกระซิบเสียงเบาจบ เป็นหล่อนเองที่ตวัดสายตามองค้อนเจ้าลูกชายแล้วโอ๋ลูกสะใภ้ไม่ปล่อย

“หากซื่อชวินรังแกทำให้เจ้าเจ็บช้ำใจเมื่อใดขอให้บอกแม่เลยรู้หรือไม่ ต่อให้จะแก่หงักหรือแม่ดุว่าแทนไม่ไหวก็จะไม่ยอมให้เขาทำร้ายจิตใจเจ้าฝ่ายเดียวแน่ ที่สำคัญขอให้รักกันยืนยาว มีเจ้าตัวน้อยวิ่งวนทั่วบ้านให้ซื่อชวินปวดหัวเล่นสักคนสองคนนะลูก”

“ท่านป้า จจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า” ลู่หานหน้างุ้ม อยากบอกป้าอู๋นักว่าหลานที่ว่าคงได้จากสะใภ้คนอื่นไม่ใช่เขาหรอกแต่ก็พูดไม่ได้ ซื่อชวินน่ะหรือทึ่มไม่รู้เรื่อง วันนี้ทั้งวันแทบจะไม่มองหน้าลู่หานเสียด้วยซ้ำ เฉไฉเบือนมองไปทั่วจนอยากจะเตะขัดขาให้ล้มสักที! “แต่ข้าขอบคุณนักที่ท่านไม่รังเกียจ

“ไม่เอาดีกว่ามาพูดอะไรแบบนี้ เห็นทีคนแก่ๆ ต้องออกไปซะแล้วสิ ปล่อยให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เข้าหอกันเสียที พรุ่งนี้ตื่นมาเจ้านับว่าเป็นสะใภ้ตระกูลอู๋เต็มตัว อย่าเรียกว่าท่านป้าอีกเลยนะลู่หาน ข้าจะนับเจ้าเป็นลูกอีกหนึ่งคน จะดูแลแทนแม่เจ้าให้ดีอย่างที่พ่อเจ้าทำเชียวล่ะ”

“พูดนานนัก ท่านแม่ออกไปได้แล้วน่า”

“อู๋ซื่อชวิน!” ดูดูเจ้าลูกชายตัวร้ายหล่อนสิ! ไม่ว่าเปล่าด้วยคำพูด ซ้ำยังดันหลังให้หล่อนรีบออกจากห้อง พร่ำเสียงหน่ายว่าอยากกกเมีย โธ่โธ่หางโผล่ขนาดนี้นึกว่าคนแก่ๆ อย่างหล่อนจะดูไม่ออกรึ! “นี่เจ้าไล่แม่หรือ คืนนี้อย่าให้เห็นว่าเจ้าก้าวเท้าออกจากห้องไปที่อื่นเล่า หากแม่รู้เข้าจะฟาดเจ้าให้เมียดูเชียว!

“ขอรับๆๆ อู๋ซื่อชวินทราบแล้วขอรับท่านแม่”

“เจ้า…!

ปัง! ประตูห้องปิดดังตึงเสียจนลู่หานสะดุ้ง ทั่วห้องพลันเงียบเสียงเมื่อไม่มีป้าอู๋และใครอื่นร่วมอยู่ยกเว้นเพียงแต่เราสองคน แสงจากโคมด้านนอกยังสว่างทั่วเล็ดรอดมาถึงด้านในเสียด้วยซ้ำ สำหรับจิตรกรอย่างลู่หานแล้วเขายอมรับจากใจว่าแม้นี่จะเป็นละครฉากใหญ่แต่บรรยากาศทั้งหมดรอบตัวในเวลานี้นั้น ช่างจริงจังและแนบเนียนสมกับเป็นพิธีสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตนัก

มือน้อยกำแน่นซ้ำยังชื้นเหงื่อ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าลู่หานมองเห็นเพียงแผ่นหลังของซื่อชวินที่อยู่ไม่ไกลเพียงสี่ก้าวถึง หัวใจดวงน้อยเต้นตุบเข้าให้เมื่อเห็นเจ้าทึ่มทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงหน้า คล้ายจะอยากหัวเราะแต่ก็ขำไม่ออก การที่ต้องร่วมหอกับเพื่อนสนิทที่เห็นหน้ามาตั้งแต่ฟันแท้ยังไม่ขึ้นช่างยากนัก

ละครก็แค่ละครฉากหนึ่ง

เราสองรู้เต็มอกว่าความเป็น เพื่อน หนักแน่นและจะมิสั่นคลอน

เสียงที่เริ่มเอ่ยเรียกมันถึงได้น่าอายเสียแต็มประดาขนาดนี้

“ยืนนิ่งอะไรของเจ้า กอดขาอ้อนวอนให้ข้ายอมแต่งงานด้วยบังหน้าแบบนี้แต่ไม่คิดจะมองหน้าข้าให้เต็มตาสักครั้งมันไม่มากไปหน่อยหรือเจ้าทึ่ม รีบหันหน้ามาแล้วดื่มเหล้ากับข้าได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าต้องรีบเข้าวังหลวง เจ้าจะทำให้ข้าตาคล้ำไปทำงานหรือ”

สั่นหรือเปล่านะ จะดูเก่งอย่างปากว่าหรือเปล่า

“กระทั่งวันแต่งงานเจ้าก็ยังพูดมากไม่หยุด” คล้ายจะฟังดูรำคาญ แต่น้ำเสียงที่ซื่อชวินใช่ช่างตรงข้ามเสียจนคนฟังสับสน หัวหน้าองครักษ์เอี้ยวตัวกลับมาประจันหน้า ซื่อชวินรู้ดีว่าลำดับต่อไปเขาสมควรจะต้องทำสิ่งใดต่อ พัดวางอยู่ตรงหน้าแล้วด้วยซ้ำ แต่ซื่อชวินกลับตัวแข็งทื่องกเงิ่นจนดูไม่ได้ “ข้าเมื่อยตัวนัก ขอถอดชุดนี่ออกสักครู่ไม่ได้หรือ อ่า…ม เมื่อยจริง!

และเดินผ่านเลยไป ปล่อยให้พัดที่ควรจะถูกใช้เปิดหน้าเจ้าสาววางนิ่งอยู่ที่เก่า อู๋ซื่อชวินในชุดสีแดงชาดดูเอาก็รู้ว่าราคาแพงระยับและงดงามสมฐานะปานใดถูกเขาปลดเชือกทีละน้อย เรือนกายองอาจของเจ้าองครักษ์เพื่อนสนิทผาดผาย ไหล่กว้างและช่างแข็งแกร่ง กอปรกับใบหน้าและทรงผมที่ตั้งใจทำในวันสำคัญแล้ว สำหรับลู่หานนับว่าดูดีเหลือร้ายจนนึกคำพูดอื่นมาเทียบไม่ไหว

และยิ่งพูดไม่ออกเมื่อซื่อชวินเดินผ่านหน้าำปหลังที่กั้นฉากข้ามหัวกันแบบนี้

หากเป็นเจ้าสาวคนอื่นจำต้องนั่งนิ่งไม่ไปไหน รอให้เจ้าบ่าวเลิกผ้าก่อนแลกกันดื่มเหล้าแน่ 

ลู่หานกดยิ้ม คลายมือที่เคยกำแน่นออก เจ้าทึ่มนั่นน่าโดนเขาเตะสักปาบจริงอย่างปากว่า หอบหนังสือร่างแบบผ้าคลุมมาให้เลือกถึงที่ แต่เวลาจริงกลับเมินเฉยไม่สนใจและเดินผ่านกันราวกับไม่มีลู่หานนั่งอยู่ตรงนี้

เช่นนั้นแล้วจะต้องเลือกไปทำไมกัน ในเมื่อไม่มีความสำคัญใดสักนิดสำหรับอู๋ซื่อชวิน

“เจ้านี่มัน” ร่างเล็กพึมพำ แจ้งใจแล้วว่าซื่อชวินคงไม่ได้คิดจะเลิกผ้าคลุมหน้าออกแน่ถึงได้หายไปนานขนาดนี้ เครื่องประดับบนศีรษะนั้นหนักใช่เล่น ผ้าคลุมหน้าก็รุงรังไม่น้อย ไม่มีใครจับตามองอีกแล้วลู่หานไม่เห็นสักความจำเป็นจะต้องสวมต่อสักนิด เขายิ้ม กำชายผ้าก่อนตั้งท่าจะเลิกพ้นหน้า “ต้องให้ข้าบ่นไปถึงไหนนะ เรื่องแค่นี้ก็ยังต้องให้ข้าทำเองอีกหรือ

หน้าที่เจ้าสาวปลอมๆ

“ทำอะไรของเจ้าลู่หาน”

ก่อนจะชะงักมือและผินหน้ามองเจ้าคนที่ปากว่าจะไปถอดชุดแล้วตอบเสียงเรียบ

“เลิกผ้าคลุมหน้าสิ เจ้าถามอะไรแปลกๆ ข้าสวมมาทั้งวันแล้วเจ้าก็เห็น ไม่ถอดแล้วจะนอนอย่างไรเล่า” บอกอึดอัดชุดแต่อยู่เต็มยศมันแปลว่าอะไร ลู่หานเบือนหน้าหนี ยิ่งมองหน้าซื่อชวินอารมณ์เขายิ่งคุกรุ่น และลู่หานคงทำสำเร็จแน่หากไม่มีใครเข้ามาจุ้นรั้งมือกันไว้กลางอากาศแบบนี้ “อะไรของเจ้าอีกซื่อชวิน เมื่อยนักก็ไปอาบน้ำนอนเสียสิ ชุดหนักนักไม่ใช่หรือแล้วทำไมไม่ถอด?”

“ข้ายังทำตามพิธีไม่หมด”

“หมดแล้วตั้งแต่เราคำนับสามครั้งจบ”

“เจ้าแกล้งทำเป็นลืม”

“คนลืมไม่ใช่ข้าแน่ซื่อชวิน มีอะไรต้องทำอีกข้าไม่เห็นจำได้”

“แต่เหล้ายังไม่ได้ดื่มสักจอก”

“อ๋อ ผ้าคลุมหน้าข้าก็ยังไม่ถูกเจ้าเลิกอย่างนั้นสิ เพิ่งนึกออกหรือ” จี้ใจนัก ลู่หานสะบัดมือหนี ไม่อยากยอมรับเลยแม้แต่น้อยว่าตลอดทั้งวันอู๋ซื่อชวินทำอารมณ์เขาหมองไปหมด ซ้ำร้ายตกดึกยังขยันปั่นประสาทอีก! ยื้อแย่งไม่ให้ลู่หานทำเองจนหงุดหงิด จับผลักจับผลูก็กวาดมือหาของบนโต๊ะแล้วยึดไหล่กันไว้แน่น “ออ๊ะ! ไอ้บ้านี่ เกิดคิดอะไรแผลงๆ ขึ้นมาอีกข้าไม่ช่วยเจ้าแล้วนะซื่อชะ

คำพูดขาดหาย เมื่อปลายพัดในมือเจ้าคนทึ่มค่อยๆ เลิกชายผ้าคลุมสีแดงขึ้น ชั่วอึดใจที่ความโกลาหลเกิดลู่หานเผลอกลั้นหายใจเฮือก หลุบตาต่ำมองมือตัวเองที่บีบกันไม่ปล่อยอย่างคนทำตัวไม่ถูก ม่านสายตาที่เคยบดบังถูกสิ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อนั้น

“นั่งนิ่งๆ หน่อยไม่ได้หรือ เจ้ายุกยิกแบบนี้ข้าทำถนัดเสียที่ไหน”

น้ำเสียงไม่เหมือนเก่าที่ใช่พูด

ครั้งแรกในรอบวันที่ซื่อชวินได้มองลู่หานเต็มตา แทบไม่มีเลยสักครั้งที่ลู่หานจะแต่งหน้าอ่อนๆ อย่างเช่นวันนี้ แผขนตายาวช่างรับกับเจ้าลูกแก้วกลมปานนี้เขาเพิ่งรู้ ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่ขยันว่ายามเขาทำตัวไม่ได้เรื่องชมพูระเรื่อจนเผลอมองและถอนสายตาไม่ไหว ปิ่นปักผมวิจิตรรับเส้นผมดำขลับ เครื่องประดับมากรายละเอียดประดับคล้องเกี่ยวผ้าคลุมหน้าดูดีกว่าเดิมนักยามอยู่กับลู่หาน ซื่อชวินเพิ่งแจ้งใจ

“ไม่ต้องตั้งใจนักหรอก หากเจ้าไม่ได้คิดจะทำตั้งแต่แรก ละครฉากแรกของเราจบลงตั้งแต่พ่อกับแม่เจ้าก้าวเท้าออกจากห้องแล้ว ข้ารู้ว่าจริงๆ เจ้าไม่ได้อยากเลิกผ้าคลุมหน้าข้าออกสักเท่าไร คิดจะซ้อมเอาไว้ก่อนยามได้โอกาสแต่งใหม่ล่ะสิ ข้ารู้ทันเจ้าหรอก”

น่ามองเหลือเกิน จะปฏิเสธคงพูดได้ไม่เต็มปาก

ซื่อชวินยิ้มขำ ปล่อยให้ลู่หานพล่ามเรื่อยก่อนวางพัดลงข้างเตียงและเอียงคอทำหน้ากวนโมโหใส่เหมือนเก่า เขายกเหล้าดื่มจนเหลือครึ่งก่อนส่งให้ลู่หานรับไป ความร้อนพร่าไหลลงคอพาลให้กระปรี้กระเปร่าไม่น้อย ยามสองแก้มลู่หานฝาดเลือดเพราะฤทธิ์สุราเขาเผลอหัวเราะลั่น

“ขำอะไรของเจ้า!

“ขำคนคออ่อนอย่างเจ้าน่ะสิจะขำใครเล่า อโอ๊ย! ทำไมถึงขยันทำร้ายข้านักนะ!

“ขยับออกไปให้ไกลหน้าข้าเดี๋ยวนี้เลย ครบทุกขั้นตอนแล้วไม่ใช่หรือ ข้าจะได้ถอดไอ้เครื่องบนหัวนี่ออกเสียที หนักตึกขนาดนี้คอข้าเมื่อยไม่ไหวแล้ว จะทำอะไรของเจ้าซื่อชวิน นี่คิดจะตบหัวข้ารึ?!

“โวยวายเก่งจริง ข้าจะถอดมันออกให้ต่างหาก”

“ไม่ต้อง เจ้าจะไปทำอะไรของเจ้าก็ไป ข้าจะได้รีบนอนเสีย

“ไม่มีแล้ว ข้าไม่ไปไหน จะนอนข้างเจ้าจนเช้านั่นแหละ”

ปดหรือไม่ ลู่หานไม่แน่ใจ

“อยากไปไหนข้าก็ไม่ได้ว่าเจ้าสักหน่อย จากนี้ก็ภาวนาขอให้แม่เจ้ายอมลามือและเปิดใจไวๆ ก็แล้วกัน อาบน้ำไหมเล่า ข้าเมื่อยไปหมดแล้วไม่มีแรงมาเถียงเจ้าหรอก เร็วสิ นั่งนิ่งทำอะไมกันซื่อชวิน จะรอให้ขะ

“โรคสำออยกำเริบเข้าให้แล้วสิลู่หาน”

รู้เพียงแต่ว่าเจ้าเพื่อนสนิทคนเดิมนี้ไม่ลดสายตาที่จ้องกันลงเลยสักนิด จนลู่หานเองต่างหากที่ต้องแสร้งยืนขึ้น จิตรกรตัวน้อยปรายตามองอู๋ซื่อชวินเบาๆ ขนาดยืนเต็มตัวแล้วยังเทียบซื่อชวินที่นั่งชันเข่าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ลู่หานแตะเบาๆ บนคอเสื้อชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้ม ยักคิ้วเย้ยพลางพูด

“ทำไม? อยากให้ข้าช่วยถอดชุดหรือ นี่เพื่อนเจ้านะ หาใช่เด็กรับใช้ไม่”

“แต่ข้างนอกห้องเขานับว่าเจ้าเป็น เมีย ข้าแล้วลู่หาน”

แสลงหูจนบิดหูเสียสมใจเรียกเสียงร้องจากซื่อชวินเลยเถอะ!

“พูดอะไร!

“พูดความจริงที่เจ้าต้องทำใจให้ชินกับการถูกเรียกว่าเมียข้าน่ะสิ”

หน้าแดงเสียยิ่งกว่าลูกแตงโมที่เจ้าตัวชอบกินเสียอีก

ซื่อชวินหัวเราะร่วน ยกมือเป็นเชิงว่าเปล่าสักหน่อย ข้าหาได้ทำอะไรไม่ ทว่าไม่ทันได้พูดยั่วอีกสักประโยคกลับเป็นลู่หานเองเสียอีกที่ทำเอาองครักษ์ใหญ่ไปไม่ถูก หน้าม้านตัวแข็งไม่สมนิสัยจนดูน่าหัวร่อ เพียงแค่เพราะถูกเจ้าเพื่อนตัวเล็กปลดเชือกเสื้อตัวนอกออกแล้วยกยิ้ม กดนิ้วกลางแผ่นอกก่อนช้อนสายตามองดื้อๆ

“มือเจ้าซนนัก

“อะไร ไหนเจ้าชอบคุยโวกับข้านักว่ายามเที่ยวหอคณิกาลีลาเจ้าดีจนพวกนางคอพับไม่ใช่หรือ แค่ข้าจับนิดจับหน่อยก็ทำเอาเจ้าไปไม่เป็นเลยรึอย่างไร คุยโม้เก่งนักนึกว่าข้ารู้ไม่ทันหรือว่าจริงๆ เจ้าเป็นคนแบบไหน คิดจะแกล้งข้าน่ะเร็วไปสิบปีจะบอกให้”

ผลัดกันหน้าร้อนบ้างเถิดถึงจะสาสม

อู๋ซื่อชวินยามกัดฟันกรอดที่ลู่หานแยกไม่ออกว่ากรุ่นโกรธหรือเคอะเขินช่างน่าเอ็นดูนัก สมกับเป็นเจ้าทึ่มที่ตนชอบเรียกที่สุด 

ลู่หานทาบมือก่อนค่อยๆ กระตุกเสื้อตัวนอกของซื่อชวินออก เขาช้อนสายตามองคนความอดทนต่ำลุกยืนจับมือกันแน่นที่ขมวดคิ้วฉับ เสียงทุ้มเตือนเข้มเรียกให้ลู่หานยักคิ้วตอบไม่เบา

“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”

“เช่นนั้นก็เตือนตัวเองด้วยเล่าว่าข้ากับเจ้าน่ะเพื่อนกัน โรคสำออยกำเริบของเจ้าเก็บเอาไว้ทำกับคนอื่นที่ไม่ใช่ข้าจะดีกว่า ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกจะบอกให้ เห็นกันมาสิบกว่าปีข้ารู้ไต๋เจ้าหมดแล้วเถอะ ไปอาบน้ำได้แล้วเจ้าทึ่ม! จะเดินโตงเตงจนเช้าเลยหรือ อู๋ซื่อชวิน”

ลู่หานกระตุกยิ้มพลางผละมือหนี เบนเท้าก่อนปลดปมเชือกตัวนอกชุดเจ้าสาวออก ถอดปิ่นปักผมและวางทิ้งไม่หันหลังกลับ ไม่เอาหรอก หากหันไปมองเข้าเจ้าทึ่มนั่นได้รู้กันพอดีว่าปากไม่เก่งอย่างใจขนาดไหน ภาวนาแน่ใจว่าอย่าได้มีอะไรดลใจให้เจ้านั่นบ้าบิ่นอย่างที่ผ่านมานักเลยแต่ท่าทางจะคิดผิด

เข้าใจแจ่มแจ้งก็ตอนที่อู๋ซื่อชวินสาวเท้าเงียบเชียบเข้าหาก่อนกระตุกมือให้ลอยลิ่ว

“ข้าสำออยกับเจ้าน่ะถูกแล้ว ตอนนี้เราเป็นสามีภรรยากันตามที่ตกลงไว้ไม่ใช่หรือ เจ้ายอมช่วยข้าถึงขนาดนี้จะยอมเล่นละครให้แนบเนียนอีกนิดไม่ได้รึอย่างไร ร่างสัญญาตกลงเอาไว้เพียงวันหย่าร้าง ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าระหว่างนั้นจะต้องเป็นแบบไหน เช่นนั้นก็เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ให้ชินเลยเสียดีกว่า เจ้าว่าไหม”

“เจ้าคิดอะไรแผลงๆ อีกแล้วรึ!

“ตอนแรกข้าก็ว่าจะนอนดิ้นให้เจ้าหัวร้อนสักคืนสองคืน แต่เปลี่ยนใจดีกว่า

เปลี่ยนใจไม่ว่า แต่มือกระชากเอวเข้าหาลู่หานชักใจไม่ดีนี่สิ

“ออะไร

“นอนกอดเจ้าแน่นๆ ให้ไปไหนไม่รอดดูท่าจะดีกว่าเห็นๆ หรือเจ้าคิดว่าไงล่ะ”

ลองนอนกอดเพื่อนสนิทดูสักคืน

“ประสาทกลับแล้วหรือ! ผู้ชายสองคนนอนกอดกันกลมเจ้าเอาสมองถั่วคิดจริงๆ สินะ!

“อยากรู้ว่าจะน่ากอดเหมือนสาวๆ ที่เคยซบอกข้าหรือเปล่า”

เกือบจะดีแล้วเชียว เกือบแล้ว

“ฝันกลางวันไปเถอะ!

ทว่าคนทึ่มอย่างอู๋ซื่อชวินที่คิดแต่จะทำให้ลู่หานหัวร้อนอย่างทุกทีน่ะหรือจะรู้ว่าหลุดพูดอะไร สิ้นประโยคก็ถูกลู่หานกระทืบเท้าจะกระโดดโหยงร้องลั่นแล้ว บอกเลยเถิดว่าลู่หานไม่อยู่ฟังเจ้าบ้านั่นพล่ามอะไรให้แสลงหูต่อแน่ สะบัดหน้าหนีได้ก็สาวเท้าฉับๆ ถอดเสื้อเข้าห้องน้ำแล้ว!

เดิมทีลู่หานไม่ได้อยากนับวันถอยหลังสักนิด

จิตรกรตัวน้อยเท้าเอวแหงนหน้าพ่นลมหายใจระบายความอดกลั้นในอก พาลนึกถึงคำอวยพรของท่านพ่อขึ้นมาจับใจก่อนจะแค่นหัวเราะราวกับเยาะตนเองถึงละครฉากใหญ่ที่กำลังสวมหน้ากากตกหลุมร่วมแสดงกับซื่อชวินเข้า ขอให้รักกันจนแก่เฒ่า อย่างนั้นหรือ

ขอให้ร้อยแปดสิบวันจบสิ้นยังฟังดูเข้าท่าเสียกว่า

และขอให้ซื่อชวินได้สมใจ อย่างที่ยอมลงแรงยอมเสียหน้าแต่งงานกับเพื่อนอย่างลู่หานในเร็ววันสักทีเถิด เพราะคนที่เจ้านั่นสมควรจะเลิกผ้าคลุมหน้าให้ในวันสำคัญเช่นนี้หาใช่ลู่หานไม่ ลู่หานไม่อยากยึดตำแหน่งของใครเอาไว้ทั้งนั้น ถึงเวลาสมควรเมื่อใดไม่ต้องรอให้ซื่อชวินเอ่ยปากก็พร้อมจะคืนให้เสมอ

ขอให้รักกันจนแก่เฒ่า

ข้าเองรอวันจะอวยพรให้เจ้าไม่ต่างกัน










To be continued.
ขอบคุณทุกฟีดแบ็คเลยนะค้าบ เก็บเรื่องนี้ไว้อ่านเพลินๆ เนอะ ใครอยากบิดหูซื่อชวินเข้าแถวมาเลยค่ะ! เรามาเกียมมัดเชือดพระเอกไว้ให้เอง5555555555 เรื่องนี้เรามาแบบชั่ววูบหน่อยๆ คิดว่าคงแต่งได้เรื่อยๆ เพราะเพลินมือมาก ฮือ ฝากติดตามตอนหน้าด้วยนะคะ ฝากแท็กด้วยคนนะค้าบ #วาดหัวใจเขียนรัก

ความคิดเห็น

  1. ซื่อชวินนี่น่าจะคิดอะไรเกินเพื่อนกับลู่นะ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม