180 days before we break up | บทที่ ๔ น่ารักไม่ใช่คำกริยา
180 days before we break up #วาดหัวใจเขียนรัก
บทที่ ๔ น่ารักไม่ใช่คำกริยา
ก้นระบมไปหมด…
ลู่หานแทบไม่กล้าจะเหยียบหรือย่างเท้าลงพื้นเสียด้วยซ้ำ
ไม่เหมือนอู๋ซื่อชวินหรอกที่พอม้าเทียบหน้าประตูบ้านได้ก็ตวัดขากระโดดลงด้วยท่าทางชำนาญเสมือนเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยที่ง่ายเหมือนเดินบนพื้นเช่นนั้น
เจ้าคนที่กวนโมโหออกปากว่าจะสอน ‘ควบม้า’ ให้ยิ้มกริ่ม
ลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านตระกูลอู๋กอดอกมองเพื่อนสนิทตัวน้อยไม่วางตา
เขาเห็นลู่หานเม้มปากกลั้นใจทำท่าจะก้าวลงทีก็จับก้นตัวเองไปทีจนดูตลก
แตะตรงสะโพกคล้ายอยากทุเลาความเจ็บหลังจากถูกเขาแกล้งพาลงหลุมจนหัวคลอนไปหลายที
ทว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปริปากขอให้เขาช่วยจนซื่อชวินต้องออกปากถาม
“ไม่ลงหรือ ถึงบ้านแล้วนะ”
“ข้า…” เจ็บก้น เจ็บสะโพก จะบอกได้หรือเดี๋ยวก็ได้หัวเราะกันอีก ลู่หานไม่คิดบอกให้ซื่อชวินรู้หรอก
ซ้ำยังพยายามแตะเท้าลงมาให้เหมือนเจ้าทึ่มอย่างถึงที่สุดด้วยต่างหาก
ทว่าคนไม่เคยควบม้าหรือจับเจ้าอาชาอย่างคำปรามาสของซื่อวินมีหรือจะเป็น
เพียงแตะโกรนเบาๆ ก็กลัวจนชักหนีแล้ว “รู้อย่างนี้ข้ากลับกับศิษย์พี่เลยเสียดีกว่า
นั่งรถม้าก็ดีอยู่แล้วไม่น่าหลวมตัวมากับเจ้าเลย”
พูดบ่นไปเรื่อย แต่ชวนให้คิ้วคนฟังกระตุกนัก
มือคนฟังมันถึงไม่ได้อยู่นิ่งวางมาดแสร้งกอดอีกแล้วแต่กระตุกสายคาดเอวลู่หานจนเจ้าตัวทรงตัวไม่ได้ตะโกนโวยวายเสียงดังพลางชี้หน้าคาดโทษจะเอาเรื่องเขานั่นแหละ! โธ่…โธ่ นั่งรถม้ามันจะต่างอะไรกันนักเชียวกับนั่งม้าเล่า!
“เจ้าโบ้ยว่าเป็นความผิดข้าหรือ นั่งรถม้าก้นเจ้าก็กระแทกไม้ไม่ต่างกันหรอก
พาเปลี่ยนบรรยากาศเป็นนั่งม้าบ้างแค่นี้เจ้าถึงกับต้องวิ่งโล่กลับไปซบพู่ชานเลี่ยเลยหรือ
ไหน เจ้าเจ็บก้นหนักหรือถึงได้หงุดหงิดนักน่ะ
ประเดี๋ยวข้าจะอุ้มเจ้าให้ตัวลอยแล้วเอายามาป้ายให้ทั่วเชียว!”
“ซ…ซื่อชวิน! มันสูง!”
“สูงเพราะเจ้าตัวเตี้ยเองต่างหาก ไม่เห็นหรือว่าข้ายืนเต็มตัวก็แทบจะเอาหน้าซุกอกเจ้าที่อยู่บนม้าได้อยู่แล้ว
เอ้า! อย่ายุกยิกนักสิลู่หาน
เล่นมากเข้าเดี๋ยวม้าก็ได้เตลิดถีบเจ้ากระเด็นหรอก บอกไว้เลยข้ายังไม่อยากมีเมียขาเป๋เดินกระเผลกทั่วเมืองหรอกนะ”
“ห…หนอย!”
“จับดีๆ”
…ไอ้ทึ่มนี่…ไอ้คนทึ่ม!...
เชื่อใจม้าตัวนี้ขนาดไหนกันถึงได้ปราดเข้ามาแล้วยกตัวลู่หานเสียจนลอยหวือไม่ต่างจากตอนขึ้นแบบนี้
เรียกให้นักวาดตัวจิ๋วหลับตาปี๋ขยุ้มไหล่สามีในนามไม่ปล่อย
ลู่หานพึมพำไม่กี่คำปลายเท้าก็แตะพื้นหน้าบ้านได้อย่างปลอดภัย ใจหายใจคว่ำหมด หนำซ้ำยังยักคิ้วเย้ย
พร่ำคำพูดลอยลมที่จงใจกระแทกหูคนฟังก็ไม่ปาน
“ข้าถึงบอกเจ้าอยู่นี่ไงล่ะว่าเจ้าควรให้ข้าสอน” ไอ้เรื่องควบม้านั่น
คำพูดกำกวนชวนให้แก้มนวลขึ้นสี ตีความลามกเสียจนลู่หานอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก
เรียกให้อู๋ซื่อชวินหัวเราะร่วนตะโกนเรียกเด็กรับใช้เอาม้าไปไว้ในคอก
ส่วนตนเดินโอบไหล่ยั่วอารมณ์ภรรยาปลอมๆ เข้าบ้านไม่ปล่อย “คิดไปถึงไหนกัน
หน้าแดงหมดแล้วไม่รู้ตัวเลยหรือ หรือว่า…เจ้าคิดเป็นอื่น?”
คิดเป็นอื่น มันคิดไปทางไหนได้บ้างกันนะ
“ข…ข้าไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย!”
ลู่หานเลิ่กลั่ก ไม่ว่าจะความหมายใดลู่หานก็ไม่เก่งด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ
และซื่อชวินเองรู้ดีไม่แพ้ใครถึงได้พยักหน้ารับไม่คิดต้อนเพื่อนสนิทให้จนตรอก
แก้มนวลนั่นเพียงพอแล้ว ‘ไม่โกรธ’ แต่ทำให้คน ‘ไม่ได้ง้อ’ อยู่ไม่สุขดั้นด้นไปหาก็เกินพอไม่ต่าง
เว้นเอาไว้สักนิดไม่คิดแกล้งต่อแล้วก็ได้
…ก็กลัวจะปากมาก พูดไม่คิด
ทำให้ลู่หานรู้สึกไม่ดีซ้ำรอยเก่าอีกนี่…
…โกรธกันดีที่ไหนเล่า…
วงแขนที่โอบรอบเอวเพราะอยากแกล้งเย้าจึงเปลี่ยนเป็นกระชับแน่นให้ความรู้สึกไม่เหมือนเก่า
เรากอดกันมาเป็นพันครั้ง รวบตัวไว้กับอกแล้วร้องยินดีด้วยกันมาไม่รู้ตั้งเท่าไร
ครั้งนี้แค่กระชับไหล่เอาไว้กลับไม่ชวนให้รู้สึกเหมือนก่อนหน้า
ทุกย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้า ครั้งแรกเลยเช่นกันที่ซื่อชวินไม่ได้พูดติดเล่นเหมือนทุกที
“แต่ข้าพูดจริงๆ นะเรื่องสอนเจ้าควบม้าน่ะ
ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ถนัดเรื่องผาดโผนหรอก
แต่ฝึกเอาไว้หน่อยดีกว่าเผื่อยามจำเป็นเจ้าจำต้องใช้มันขึ้นมาจะได้เดินทางสะดวก
นอกเมืองห่างไกลไม่ค่อยมีรถม้าอย่างเมืองหลวง
ยิ่งเดินทางไกลขี่ม้ายิ่งรวดเร็วและสะดวกกว่ากันเยอะ”
“พูดดีๆ ไม่กวนข้าบ้างก็เป็นหรือ”
“เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า”
บทจะไม่เล่นลิ้น…ก็พาลให้คนฟังหลบตาวูบไหวเข้าให้
ลู่หานแกล้งหลิ่วตาผินกลับมามอง
เป็นเพียงชั่วครู่ที่คำว่า ‘ห่วง’ แทรกตัวในความรู้สึกนัก
นักวาดมือดีแกล้งมองผ่านสายตาจริงจังสำทับความห่วงหาที่ซื่อชวินมอบให้ อดคิดไม่ได้ว่าเพราะตนพร่ำบอกเขานักหรือว่าเป็นห่วงนัก
ซื่อชวินถึงได้ตอบกลับด้วยคำเดียวกันไม่ต่าง
เป็นห่วง…เป็นห่วง…คำนี้ร้ายกาจไม่เบาเชียว
ได้ยินครั้งแรกว่าหนักหนา ครั้งต่อมาสาหัสไม่เบา
“เดี๋ยวข้าก็ใช้วิชาที่เจ้าสอนเอาไว้หนีเจ้าหรอก”
แกล้งพูดเล่นคลายบรรยากาศประหลาดเมื่อระลึกได้
บิดตัวจากการถูกโอบก่อนก้าวเท้าถอยและหยุดนิ่ง
ถูกความเย็นจากกำไลข้อมือที่เพิ่งได้รับย้ำเตือนสติ ทว่าลู่หานไม่ได้คิดอะไรหรอกยามพูดออกไป
และไม่คิดด้วยเช่นกันว่าคนอย่างเจ้าทึ่มที่ดีแต่ขยันหาเรื่องปวดหัวจะพร่ำบอกกันด้วยคำนั้น
“จะหนีไปไหน อยู่กับข้ามาจะครึ่งชีวิตแล้ว
ทนอยู่ต่อไปอีกสักหน่อยไม่ได้รึ ขี้งกนัก!”
“อ…อื้อ! จะเอาไว้หนีเจ้า เบื่อหน้าคนทึ่ม!”
“ข้าตามเก่ง
เจ้าหนีไปไกลสุดฟ้าข้าก็ตามจนเจอได้อยู่ดี” องครักษ์หนุ่มพูดด้วยความมั่นใจ
เพียงลู่หานหยอกเล่นว่าจะ ‘ไม่อยู่’ เขาก็เต้นเป็นเจ้าเข้าแล้ว ตั้งแต่ตัวเท่าเอว
ตั้งแต่ลู่หานยังจับดินสอไม่ถนัด ตั้งแต่…นานเหลือเกินสำหรับเราทั้งคู่
ซื่อชวินกระตุกยิ้ม แกล้งดีดหน้าผากลู่หานไปทีแล้วเอ่ย “ห้ามหนีไปไหนเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่
ตื่นมาวันใดข้าไม่เจอเจ้าล่ะก็จะจับมาหวดให้ก้นลายเลยคอยดูเถิด”
ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน
“เจ้าก็ทำตัวดีๆ กับข้าซะสิ
ข้าจะลองคิดอีกทีว่าจะอยู่ดีหรือหนีหน้าเจ้าไปเสียสิ้นเรื่อง”
“ลู่หาน…”
เพราะหากคำขู่นั้นของซื่อชวินน่ากลัวจริงคงไม่ทำให้ลู่หานกล้าออกปากต่อรองหรอก
ยิ่ง…เจ้าองครักษ์ผู้ชอบวางมาดสมตำแหน่งกับใครต่อใครทำหน้าขัดใจให้เห็น
สำหรับเพื่อนอย่างลู่หานแล้วยิ่งนึกขันเสียยิ่งกว่า ก่อนจะรู้ในชั่วพริบตาถัดมาว่าคำขอที่ว่าไม่ช้าจะย้อนศรกลับมาเล่นงานตนจนจุกอก
คนที่เดินเตาะแตะเตรียมเข้าในตัวบ้านชะงักงัน อีกครั้งที่ลู่หานผินหน้ากลับมามองเจ้าคนทึ่มที่ชอบเรียกในใจ
ระยะห่างไม่กี่ก้าวหรอก ไม่ไกลเลยและพอให้เห็นเต็มตาจำแม่นขึ้นใจไม่รู้ลืม
เพียงไม่กี่ประโยคที่ซื่อชวินพูด ย้ำทับซ้ำๆ ในอกนักว่า ‘บางอย่าง’
กำลังผูกมัดเราไว้ด้วยกัน
“อย่าหนีข้าไปเลยนะลู่หาน ข้าไม่อยากโกรธกับเจ้า
ยิ่งถูกเจ้าตีตัวจากยิ่งไม่อยาก”
ผูกมัดเอาไว้ที่ไม่ใช่เพราะสายสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน
มือน้อยเกาแก้มแก้เก้อ ตอบกลับเบาๆ
ทว่าคนฟังได้ยินชัด
“ข้าแค่พูดแกล้งเจ้าเล่นเฉยๆ ม…ไม่ได้จะไปไหนสักหน่อย…”
“ถ้าอย่างนั้น…” ซื่อชวินลอบเลียปากพลางครุ่นคิด
มองสบนัยน์ตาเจิดจ้าของลู่หานแล้วไม่พบสิ่งใดหรอก
แต่คล้ายจะถูกดูดเข้าภวังค์อย่างไม่รู้ตัว คงแปลกน่าดูหากเขาพูดออกไป
ฟังทะแม่งชอบกลแน่ แต่กลับไม่เคยคิดอยากเปลี่ยนใจไม่บอก
น้ำเสียงที่ใช้พูดมันถึงได้เบานักและขาดห้วงจะบ้า “เจ้า…”
“……”
“ช่วยทนคนทึ่มอย่างข้าหน่อยได้หรือไม่”
“……”
“อย่าไปไหนนะลู่หาน”
สวรรค์…
เล่นตลกกับข้าเข้าแล้ว
/
‘อย่าไปไหนนะลู่หาน’
กระทั่งผ่านมาจวนจะครบอาทิตย์แล้ว หนึ่งประโยคส่งท้ายคล้ายคำราตรีสวัสดิ์ในคืนนั้นก็ยังไม่เคยเลือนหายไปจากหัวเสียทีจนลู่หานหวาดไม่เบาในอก
ขนหรือไม่ได้ลุกเกรียวหรอก เพียงแต่…มันคันยุบยิบในอกนักยามหวนนึกถึง ไม่ใช่คำหวานใดที่เคยฟัง
หากแต่เป็นคำวอนขอเหมือนทุกครั้งที่ผิดแปลกเสียจนสะท้อนในอก
…แต่ก่อนเจ้าทึ่มนั่นก็เคยจับมือลู่หานไว้แน่นแล้วบอกว่าอย่าไปไหนทั้งน้ำตานองหน้าเหมือนกัน
ต่างกันตรงที่ตอนนั้นซื่อชวินร้องขอเพราะกลัวเพื่อนเล่นคนเดียวนี้ที่คอยตามตนเองต้อยๆ
จะหนีไปคบเพื่อนใหม่ต่างหาก ลู่หานถึงได้คิดหนักนัก…
…อาการกลัวเพื่อนทิ้งมันฝังลึกจนถึงตอนนี้หรืออย่างไรนะ…
คำตอบในใจนับว่ามีก็พูดได้ไม่เต็มปาก
ยามเช้าในวันหยุดที่ไม่ได้มีบ่อยนัก
กลางศาลาหลังเล็กในสวนหย่อมประดับประดาด้วยต้นไม้นานาพรรณถึงได้ชวนให้ลู่หานหลุดอยู่ในภวังค์ของคำพูดนั้นและไปไหนไม่รอด
ต่อให้จะจับดินสอร่างแบบเพื่อปักผ้าให้ป้าอู๋อย่างไรหัวมันก็พาลนึกไปถึงคำพูดเดียวนั้นของอู๋ซื่อชวินทุกขณะ
อย่าไปไหนอย่างนั้นหรือ
จะให้ไปไหนเล่า ตลอดมาก็ไม่เคย…
“เจ้าว่าอย่างไร ดีไหมเล่าลู่หาน”
“……”
“ลู่หาน”
คนที่ใจลอยถึงได้สติเข้าให้ตอนที่แม่สามีเรียกย้ำพร้อมเงยหน้าสบตา
ไร้แววตำหนิที่ไม่ได้ตอบ ฮุ่ยหมิงเพียงยิ้มน้อยๆ ก่อนทวนความเดิมที่หล่อนพูดเอาไว้
จับมือลูกสะใภ้ก่อนตบเบาๆ เป็นเชิงว่าวางดินสอลงก่อนเถิด ไม่ต้องรีบเร่งนักหรอกเพราะมันไม่ได้สำคัญเท่าเรื่องที่หล่อนถามสักนิด
“ข้าถามเจ้าว่าคิดถึงพ่อไหม
หากเจ้าคิดถึงบ้านเมื่อใดจะกลับไปเยี่ยมเยียนหรือนอนค้างสักคืนสองคืนข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าหรอกนะ
กลัวเจ้าเหงาเพราะแปลกที่ เป็นห่วงพ่อเจ้าที่อยู่คนเดียวด้วยอีกต่างหาก
ลูกชายไม่กลับไปบ้านเลยคงเหงาไม่แพ้กัน ว่าอย่างไร เจ้าว่าดีไหมเล่า”
“ด…ดีขอรับท่านป้า!” เกือบครึ่งเดือนแล้วที่ลู่หานไม่ได้กลับไปหา
เพียงแวะหอบอาหารอร่อยจากร้านเด็ดไปให้จะเทียบเท่ากับการได้นอนกอดได้อย่างไร สีหน้ายินดีพร้อมรอยยิ้มเต็มแก้มกลมจึงไม่อาจปิดมิด
ลู่หานค้อมศีรษะขอบคุณจากใจ พาลให้ฮุ่ยหมิงโบกไม้โบกมือรับแทบไม่ทัน
“ข้ามีท่านพ่อแค่คนเดียว ท่านพ่อเองก็มีข้าคนเดียวเหมือนกัน คงจะดีแน่ๆ
ถ้าข้าได้กลับไปนอนบ้านเป็นเพื่อนบ้าง”
“ไม่ใช่ท่านป้าแล้ว ท่านแม่ต่างหาก
ประเดี๋ยวจะตีให้เขียวเหมือนหูซื่อชวินเลยนี่” หล่อนแกล้งดุ
พาดพิงถึงลูกชายตัวเดียวแล้วหัวเราะร่วนจนริ้วรอยขึ้น หล่อนวางม้วนด้ายลงบนโต๊ะ
พูดพลางยิ้มเบาๆ ถึงใครบางคนที่ล่วงลับไปนานแล้วขึ้นมาดื้อๆ “เห็นเจ้าทีไรนึกถึงแม่เจ้าทุกที
เขาน่ารักเหมือนเจ้าไม่มีผิด
ไม่ได้ตัวโตอย่างคนอื่นเขาหรอกแต่ไม่มีเลยสักครั้งที่จะทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียว
เป็นนคนเข้มแข็งจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
ก่อนลมหายใจจะสิ้น
พร้อมอีกหนึ่งชีวิตที่ถือกำเนิด
“เพราะแบบนั้น…ท่านแม่เลยอยากให้ข้ากับซื่อชวินเป็นเพื่อนกันหรือ”
ฮุ่ยหมิงพยักหน้ารับ
ได้ยินเสียงคนคุยกันหน้าประตูบ้านไม่พ้นคงเป็นอู๋ซื่อชวินที่พาม้าออกไปวิ่งทดสอบฝีเท้าแน่
กรุความทรงจำเก่าๆ ไหลย้อนเข้ามาแม้จะผ่านมามากกว่ายี่สิบปีแล้วในความจริง
ทุกครั้งที่นึกถึง ไม่มีเสียหรอกที่ฮุ่ยหมิงจะจำไม่ได้
“ถูกแล้ว เพราะข้ากับแม่เจ้าเราเป็นเพื่อนกัน
เขาไม่เหมือนใคร เป็นคนพิเศษอย่างที่เจ้าเป็น เขาดูแลข้าได้
คอยปกป้องเท่าที่เพื่อนคนหนึ่งจะมอบให้ได้ แล้วทำไมซื่อชวินจะดูแลเจ้าบ้างไม่ได้เล่า
น้ำใจที่ให้มานั้นอย่างไรก็ต้องตอบแทนบ้างไม่ใช่หรือ
ถึงได้บอกเจ้าอย่างไรเล่าลู่หาน” สิ่งที่เคยพูดเอาไว้เมื่อคืนเข้าหอ
“หากเจ้าลูกชายตัวดีทำอะไรให้เจ้าเจ็บช้ำใจเข้า
เจ้าไม่จำเป็นต้องอดทนฝืนรับหรอกรู้หรือไม่ หากไม่รักษาแล้วยังทำลายอีก
แม่คนนี้จะจัดการแทนเจ้าแน่คอยดูเถิด”
ช่างเป็นคำขู่ที่คนตรงประตูฟังแล้วขุ่นใจไม่น้อย
“อื้อ…!”
ลู่หานไม่ทันได้พยักหน้ารับเสียด้วยซ้ำ
การกระทำอุกอาจแสร้งเล่นละครบังหน้าอย่างการสอดมือรอบเอวแล้วกอดเต็มรักก็เล่นงานเสียจนต้องเบิกตากว้าง
ถ้อยคำยียวนถามกลับจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพร้อมอาการ ‘อวดเมีย’
ต่อหน้าต่อตาเล่นงานคนมองจนตาถลน
“ท่านขู่ให้เมียทิ้งข้าอีกแล้วหรือ, ท่านแม่”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้เจ้าบ้า”
ร่างเล็กกัดฟันกรอดพูดให้ได้ยินเบาๆ เพียงสองคน ป้าอู๋กระวีกระวาดเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเราสองเมื่อเห็นฉากรักของลูกชายคาตา
ทว่าคนถูกกล่าวถึงเมื่อครู่กลับลอยหน้าลอยตาไม่ตอบ
ฝังจมูกหอมเมียตัวจ้อยอย่างแรงจนเสียงดังฟอด “อ…อู๋ซื่อชวิน!”
“ลู่หาน…เจ้าอย่าฟังแม่ข้ามากนักเล่า” แกล้งออดอ้อนตบตาแม่ ได้ทีก็คว้าเก้าอี้ก่อนนั่งแล้วเกาะลู่หานไม่ปล่อย
ร้อนถึงฮุ่ยหมิงที่อายแทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นเตรียมหนี
ไอ้ที่ว่าจ้องจะติดตามดูความประพฤติลูกว่าจะนอกลู่หรือไม่เห็นทีจะไม่จำเป็นแล้วน่ะสิ!
“อ้าว จะไปไหนเล่าท่านแม่ ผ้าผืนนั้นยังปักไม่เสร็จไม่ใช่หรือ”
“อยู่ตรงนี้ข้าจะร้อนจนนั่งไม่ติดน่ะสิ!”
“แล้วเมื่อครู่ท่านว่าอย่างไร
บอกจะจัดการข้าแทนลู่หานหรือ? ข้าเปล่าทำตัวเกเรสักหน่อย”
“ไม่เอาน่า เจ้าเงียบไปเลยซื่อชวิน”
ขยับออกไปด้วยลู่หานจะขอบคุณเพิ่มอีก ไม่ใช่แค่ป้าอู๋แล้วที่นั่งไม่ติดเก้าอี้
ลู่หานเองด้วยเถิดที่ร้อนบนหน้าเสียจนไม่อยากมองใครทั้งนั้น หอมแก้มรึ?
ฟอดใหญ่จนจมแก้มไม่ขอสักคำ!
ขยับเข้ามาเบียดนักก็โดนบิดเอวเรียกสติเอาบ้างเถิด “ข้าเตือนแล้วนะเจ้าทึ่ม!”
“เล่นละครเมียจ๋าต่อหน้าแม่ข้าหน่อยสิ” ซื่อชวินกระซิบเสียงเบา
เขาเอื้อมตัวทัดผมให้ลู่หานยามพูดคำก่อนหน้าตบตาคนเป็นแม่ให้ดูว่าแสนรักเหลือล้น พลิกตัวกลับมาได้ก็โอบลู่หานไว้เต็มแขนแล้วเกริ่นถามถึงเรื่องที่สงสัย
“ว่าแต่เมื่อกี้คุยอะไรกันหรือ เห็นลู่หานทำหน้าดีใจจนปิดไม่มิดเชียว”
“แม่บอกลู่หานว่าหากจะกลับบ้านก็ไม่ต้องเป็นห่วง
จริงด้วย หากลู่หานกลับไปเยี่ยมพ่อ เจ้าก็อย่าลืมไปส่งเมียด้วยเล่า
อย่าได้ให้บ้านไหนเขามานินทาว่าตระกูลอู๋เลี้ยงดูสะใภ้ทิ้งขว้างได้รู้หรือไม่
เอ้านี่! ไม่ต้องเขยิบไปจนชิดนักหรอกแม่ไม่อยู่ขวางเจ้าแล้ว
อย่าลืมที่แม่บอกเล่าซื่อชวิน!”
จำแม่นเชียวเพราะถูกยกนิ้วคาดโทษรอไว้แล้วหากเขาไม่ทำตามน่ะ
คล้อยหลังท่านแม่เดินจากไปพร้อมผ้าที่ปักค้างไว้
คนที่แสร้งเล่นละครเป็นสามีถึงได้จังหวะค่อยๆ ขยับออก
ยามผินหน้ากลับมามองถึงได้เห็นลู่หานมองกันตาแทบถลน
จิ้มนิ้วลงบนแก้มตนคล้ายกำลังบอกว่าจงอธิบายมาดีๆ สักคำ ไม่เช่นนั้นจะเป็นเขาเองที่ถูกฟาดจนจมมือแน่
“ก…ก็…แม่ข้าอยู่…”
…เลยหอมให้ดูไปฟอดก็เท่านั้นหรอก…
“ทำไม กลัวแม่เจ้าไม่เชื่อหรือ” ฟอดนึงเต็มๆ
เชียวนะ!
คนถามหน้าซื่อโดนขโมยแก้มไปจูบน่ะตาใสถามเอาเรื่อง
ส่วนคนถูกถามน่ะรึ
จับเก้าอี้เป็นมั่นวนคิดหาข้อแก้ตัวแทบแย่ เขาผิดอะไรเล่า! ผัวๆ เมียๆ
มันต้องมีกันบ้างไม่หรือการกระทำ ‘จำพวก’ นี้น่ะ หอมนับเป็นเรื่องปกติ กอดนับเป็นเรื่องรอง
เลยเถิดไปถึงเรื่องจูบหรือบนตะ…เดี๋ยว…ไม่ใช่ลู่หานแล้วที่ท่าจะบ้า เขาต่างหากเล่าที่จวนจะเสียสติ…
…จูบหรือ…เรื่องบนเตียงรึ…
…เขา ‘เผลอ’ คิด เรื่องพวกนั้นกับ ‘ลู่หาน’ หรอกหรือ…
สวรรค์…
ใบหน้าคมคายร้อนผ่าวเมื่อความคิดอกุศลเล่นงานเต็มเหนี่ยว
โวยวายกลบเกลื่อนยกเรื่องก่อนหน้าที่ท่านแม่ฝากฝังมาถูกทับแทบไม่ทัน
กดเรื่องที่โผล่ขึ้นในหัวเมื่อครู่และพร้อมจะโยนทิ้งให้ไกลนัก คิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร
ไม่ได้ นั่นควรเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนตายที่โผล่มาในหัวเสียด้วยเถิด!
“เจ้า…เจ้าว่าจะกลับบ้านหรือ?”
“อู๋ซื่อชวิน เจ้าจงใจเลี่ยงตอบคำถามข้ารึ!”
“เปล่า!” โกหกคำโตเลยล่ะเขายอมรับ! ซื่อชวินผุดลุกขึ้น
มองเมินไม่คิดตอบเรื่องที่ตนหาญกล้าลอบขโมยหอมแก้มลู่หานต่อหน้าท่านแม่อีกแล้ว
เขากวาดสายตามองไปทั่ว มองผ่านเจ้าคนตาใสที่เอาเรื่องใช่ย่อย ประหลาด…ประหลาดนัก ไปเผลอคิดได้อย่างไรกัน “มาพูดกันเรื่องเจ้ากลับบ้านดีกว่า
จะกลับวันไหนก็บอกข้าแล้วกัน จะไปส่ง”
เจ้าคนตากลม จ้องกันอย่างกับเด็กตัวน้อยๆ ดื้อนัก
ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่จำเป็น
พูดสำทับคล้ายไม่ต้องการ
“บ้านข้าอยู่ห่างกับบ้านเจ้าแค่นี้ไม่ต้องลำบากหรอก
เมื่อก่อนข้าเดินไปเดินมาคนเดียวเสียด้วยซ้ำ
เจ้าจะลำบากเอาเวลามาใช้เปล่าประโยชน์กับข้าทำไม ก็ไหนชอบบ่นนักว่าปวดตัว
เมื่อยนักก็พักผ่อนไปเถิด ข้าไปได้ จะบอกท่านแม่ให้ทราบและไม่โวยเจ้าหรอก”
“แต่ข้าอยากไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก ข้าบอกจะไปเองไงเจ้าทึ่ม”
“เจ้าเอาแต่บอกว่าข้าทึ่ม เจ้าเองก็แสนดื้อ”
“น…นี่…”
“ตกลงเลือกวันมาเถอะน่า ข้าอยากไปส่ง จะไปส่ง
ได้ยินหรือไม่?”
ได้ยินแล้ว ชัดเต็มหู เห็นเต็มตาอีกต่างหาก
ทว่า…ลู่หานสงสัยนัก จิตรกรตัวจิ๋วถึงได้สาวเท้าค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เจ้าเพื่อนตัวยักษ์เบาๆ
ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่ตนสังเกตเห็นความผิดปกติ มือน้อยแตะลงเบาๆ
ตรงใบหูเจ้าคนทึ่ม เรียกให้อู๋ซื่อชวินปรายตามองกันหน้าตื่นไม่น้อย
มันแดงแจ๋อย่างกับลูกตำลึง เรียกให้คนกระทำถามเสียงซื่อ
“เจ้าป่วยหรือ ทำไมหูแดงนักเล่า”
“ป…เปล่า…”
“แล้วทำมะ…”
“ข้างนอกแดดเปรี้ยงปานนั้นหูข้าก็ไหม้น่ะสิ! ข้าพาม้าออกไปตั้งนานสองนาน
ใครว่าแดงแค่หู หน้าข้าก็แดง แก้มข้าก็แดง ตัวข้าหรือแดงจนจะดำปี๋อยู่แล้ว ไม่ต้อง…ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกน่า หาได้มีอะไรให้เจ้าต้องกังวลไม่ เจ้าเองก็เหมือนกัน
อย่าตากแดดตากลมนานนักเล่า”
…เป็นตุเป็นตะ
เสียจนอยากมอบโล่ให้ตัวเองนัก…
เพียงลู่หานพยักหน้าไม่ต่อความให้ยืดยาว
อู๋ซื่อชวินก็พลอยโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขามองเจ้าตัวค่อยๆ
เก็บอุปกรณ์วาดภาพอย่างเบามือแล้วอมยิ้ม มองเรียวนิ้วที่สวยไม่แพ้ใครขยับไหว
เพียงเสี้ยวพริบตาที่ลู่หานทำหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องใดสักเรื่อง ในนาทีนั้นที่ซื่อชวินเองก็เลิกคิ้วทวนคำถามสุดท้ายเบาๆ
ในอก
“ซื่อชวิน”
“ว่าอย่างไร”
“เจ้า…”
“……”
“กลับไปนอนบ้านกับข้าไหม”
ประโยคธรรมดาที่ไม่เบาต่อใจคนพูดและคนถาม
บ้าเต็มทนแน่หากเขาออกปากปฏิเสธ
องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับปากมั่นเหมาะ
เรียวนิ้วที่ชมในใจว่าสวยนักละจากอุปกรณ์วาดเขียนที่เจ้าตัวชอบมากระตุกแขนเสื้อเขาแล้วรั้งเอาไว้เพื่อขอคำตอบตั้งแต่เมื่อไรซื่อชวินจำไม่ได้หรอก
เพียงได้ยินลู่หานระบายยิ้มเต็มแก้มก็ขาแข็งล่อกแล่กจนทำตัวตลก
ตลอดมาใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าลู่หาน ‘น่ารัก’
ไม่แพ้ใครซะหน่อย
แต่ไม่คิดว่าจะน่ารักขนาดนี้ต่างหาก
๑/๒
ยี่สิบหกปีที่ผ่านมานั้น สำหรับอู๋ซื่อชวินแล้วนี่หาใช่ครั้งแรกไม่ที่ตนเคยไปนอนบ้านลู่หาน
เขามองเจ้าคนช่างวาดยืนพับผ้าห่อเก็บจนเรียบร้อยตั้งท่าจะสะพายไว้บนบ่า ไม่อยากจะยอมรับเอาเสียเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกประหม่าเสียจนปั้นหน้าไม่ถูก ทำหน้าทึ่มก็คงโง่เสียจนหากลู่หานหันมาเห็นเข้าคงอยากถามกันแน่ว่า ‘เจ้าเป็นบ้าหรือ ถึงได้ทำหน้ากระมิดกระเมี้ยนเช่นนั้น’
กระมิดกระเมี้ยน ร…หรือ…
“ซื่อชวิน?” ปัดโธ่ ใครจะยอมให้ลู่หานหันมาเห็นเล่า!
องครักษ์หนุ่มตีหน้าขรึม ละมือที่เคยบี้นิ้วตนไปมาเหมือนเด็กตัวจ้อยให้หยุดเสีย ซื่อชวินแสร้งทำหน้าคล้ายอยากทวนถามว่าเจ้าเรียกข้าทำไมกัน ขณะที่สองเท้าไม่ได้หยุดก้าวเดินก่อนนั่งปุกตรงโต๊ะที่เจ้าเพื่อนตัวจ้อยวางห่อผ้า เขาเท้าคางแหงนหน้าพลางจ้องตาลู่หานไม่กะพริบ ทวีให้คนถูกมมองเก้อเสียจนทำอะไรไม่ถูก
“มองหน้าข้าทำไมนัก รึเจ้าเปลี่ยนใจไม่อยากไปแล้วหรือ?” ไม่ให้ถามจะได้หรือ คนอะไรเดี๋ยวทำหน้านิ่วเดี๋ยวทึ้งหัวตนอยู่ได้ ยิ่งเสริมน้ำหนักในใจคนที่ประหม่าอยู่ก่อนหน้าอย่างลู่หานเข้าไปใหญ่ ว่าคำใดที่เผลอพูดออกไปคืนนั้นช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนัก คนตัวบางเม้มปาก เกริ่นพูดทำทีเป็นเฉยเมย “ข้าก็บอกเจ้านี่ว่าเจ้าไม่ต้องไปส่งก็ได้ จ…จริงๆ ข้าก็ชวนไปอย่างนั้น นอนบ้านข้าจะสบายเท่าเตียงในบ้านเจ้าได้อย่างไร…”
ปัดโธ่เอ๊ย…กับแค่ชวน ‘เพื่อน’ ไปบ้าน ทำไมถึงได้ชวนให้คิดหนักนักเล่า…
นักวาดตัวน้อยคว้าห่อผ้าแนบอกแน่น จ้องตากับเจ้าอู๋ซื่อชวินที่อ้าปากเหวอนึกคำมาพูดตอบไม่ได้ เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเหลือเกินที่ลู่หานตัดสินใจลืมทุกสิ่งที่เคยพูดไปเสีย หมุนตัวทิ้งคำพูดที่ไม่ได้คาดหวังเลยสักนิดว่าเจ้าเพื่อนโง่อย่างซื่อชวินจะโพล่งตอบกันสักคำ
“ข้าไปก่อนดีกว่า พอมานึกดูอีกทีแล้วให้เจ้าได้มีเวลาส่วนตัวบ้างซะก็ดี บางทีเจ้าคงมีที่อยากไปมากกว่าอยู่บ้านกับข้า ติดหนึบเป็นตังเมกับข้ามาตั้งกี่ปีจะให้ตื่นเช้ามาเจอหน้าทุกวันเจ้าคงเบื่อแย่แล้ว อ…อีกสามวันค่อยเจอกันเล่า!”
หมับ! คิดหนีหรือ? เจ้าตัวเปี๊ยกนี่!
“อะไรของเจ้า! ยืนบ่นๆๆๆ แล้วก็ถือห่อผ้าตีหน้าข้าแบบนี้ก็ได้หรือ!” ชักจะฉุนซะแล้วเจ้าตัวจ้อยนี่! ซื่อชวินลุกขึ้น ยื้อแย่งมัดผ้ามาถือในที่สุด ทำให้ลู่หานตีหน้าบึ้งมองตาขวางใส่ไม่หยุด โธ่ๆ นึกว่าตัวเองขัดใจเป็นคนเดียวหรือ คนที่คล้ายจะตกอยู่ในสถานะ ‘ถูกทิ้ง’ อย่างเขาต่างหากเล่าที่น่าสงสารน่ะ! “เจ้าเล่นพูดไม่หยุดไม่เว้นให้ข้าพูดตอบสักคำ พอเห็นข้าพูดไม่ทันเข้าหน่อยก็คิดจะกลับบ้านคนเดียวอีก ข้าไม่ได้ไปนอนบ้านเจ้าครั้งแรกสักหน่อย ซ่อนอะไรไว้หรือถึงได้กลัวคอยกันท่าไม่อยากให้ข้าไปนัก รึว่าเจ้า…”
“พูดให้ดีนะเจ้าทึ่ม ข้ามันทำไม!”
องครักษ์หนุ่มหรี่ตา คว้าแขนลู่หานก่อนทำหน้ายียวนใส่ เพียงพูดจบประโยคลู่หานก็ทุบอกกันดังปักที่ทำให้ซื่อชวินหัวเราะร่าเข้าให้ ดวงหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ ใบหูระเรื่อ ทว่า…ไม่เท่าสองแก้มที่เห่อร้อนฉุดไม่อยู่
“แอบซ่อนรูปข้าไว้เต็มห้องเพราะทนความหล่อไม่ไหวเอาไว้ดูยามต้องการจะ...ล่ะสิ”
“หลงตัวเองที่สุดในเมืองหลวงหรือเจ้าทึ่มนี่ อย่างเจ้าน่ะมีถมไป พูดมากนัก ข…ข้าไม่รอเจ้าแล้ว”
“ไม่รอแน่หรือ ขาก็สั้นนิดเดียวจะเดินไปได้สักเท่าไรกันเชียว ประเดี๋ยวข้าก็ตามเจ้าทันอยู่ดีแหละน่า”
“เรื่องของเจ้าสิ ยังกล้ามาว่าขาข้าสั้นอีกหรือ ข้าไม่รอเจ้าแล้วจริงๆ นะเจ้าทึ่ม!”
ไม่รอจริงซะด้วยเพราะวิ่งแจ้นเปิดประตูห้องออกไปชนิดที่ซื่อชวินกลัวว่าจะสะดุดขาตัวเองนัก
เขาซ่อนรอยยิ้มไว้อย่างแนบเนียน ลู่หานน่ะเดินถึงประตูบ้านแล้วด้วยซ้ำ ทว่าซื่อชวินยังใจเย็นเดินตามหลังได้เรื่อยๆ เขาค้อมศีรษะเป็นเชิงว่า ‘ขอตัวพาเมียกลับบ้าน’ ให้ท่านแม่ที่ยืนส่ายหน้าริมทางเดินรอบบ้าน โธ่ ให้เดาท่านแม่คงปวดหัวเต็มแก่ที่ลูกชายกับสะใภ้ขยันทะเลาะกันได้ทุกวี่วัน
กระนั้นแล้วก็ยังชอบฝันเฟื่องแอบเป่าหูอยู่ไม่คลายว่า ‘อยากมีหลาน’ ตัวอ้วนๆ ไว้อุ้ม มุมปากพลันหยุดยิ้ม เช่นสองเท้าของเขาที่ชะงักไปอึดใจ ยามสายตายังจับจ้องเพียงแผ่นหลังของเพื่อนสนิทอย่างลู่หานไม่คลาย ตัวก็เล็กเท่านั้น สะโอดสะองอย่างที่ซื่อชวินรู้ดีว่าไม่ควรพูดให้เข้าหูหากยังรักชีวิตไม่คิดตายคามือน้อยๆ นั่น
…หลานอะไรกัน…
…ให้เอา…ฟ้าผ่าแล้ว!...
“ข้าบ้าแล้ว ข้าท่าจะบ้าแน่…” เพราะซื่อชวินยังสลัดความคิดชั่ววูบนั่นไม่ได้เสียทีหรอก ถึงได้กลัวจับใจอยู่นี่! หลงคิดว่า ‘น่ารัก’ ไปวันนั้นนับว่าแย่ครั้งที่หนึ่ง ‘เผลอ’ คิดแต่เรื่อง ‘อย่างว่า’ อย่างที่ไม่เคยมีในหัวนับว่าแย่ครั้งที่สอง จะให้มีครั้งที่สาม… “ไม่ได้ๆ อย่างไรก็ไม่ได้เด็ดขาด”
อากัปกริยาคล้ายคนตีรวนคงน่ารำคาญใช่เล่นแน่ ถึงได้ไปสะกิดให้คนที่เดินนำหน้าไม่แม้แต่คิดจะเหลียวหลังมามองอย่างลู่หานหยุดเดินเข้าให้ เจ้าทึ่มนั่น…ทำหน้าเหมือนฟ้าจะถล่มตรงหน้าอีกแล้ว เป็นมาหลายวันเหลือเกินนับจากวันนั้นที่ลู่หานออกปากชวน ซื่อชวินทำหน้าราวกับกล้ำกลืนเต็มแก่
ผ่านมาจวนจะขึ้นเดือนที่สองหลังจากเราแต่งงานกัน นี่นับเป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมาเสียด้วยซ้ำที่ซื่อชวินทำท่าประหลาดใส่แบบนี้ อดคิดไม่ได้…ว่าจริงๆ แล้วเจ้านั่นกำลังกลบเกลื่อนเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า กว่าจะรู้ว่าความคิดไปเร็วเท่าเท้าลู่หานก็ก้าวหยุดตรงหน้าอู๋ซื่อชวินแล้ว
ออกแรงเบาๆ จับชายผ้าตรงต้นแขนคล้ายกระตุกเรียก ไม่ได้ต้องการจะชวนโมโหหรือทะเลาะกันอย่างที่ทำก่อนออกจากบ้านมาแล้วหรอก ออกจะจริงจังเสียด้วยซ้ำยามถามเจ้าทึ่มนี่ออกไปตรงๆ เช่นนี้
เจ้าบ้านี่ กลบเกลื่อนเรื่องนี้หรือเปล่า เรื่องที่ว่า…ความจริงกำลังฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยาก แท้จริงแล้วอาจไม่ได้ต้องการมาส่งหรือนอนด้วยที่บ้านลู่หานแม้แต่น้อย แต่กลัว ‘เพื่อน’ คนหนึ่งจะน้อยใจเหมือนครั้งก่อน หากเป็นเพราะเหตุผลนั้นที่ทำให้เจ้าทึ่มทำหน้าบอกบุญไม่รับแล้วล่ะก็…
“อู๋ซื่อชวิน” เรียกเต็มยศขนาดนี้ มีหรือเจ้าทึ่มจะไม่มองหน้ากันตรงๆ ลู่หานระบายยิ้มก่อนพูดขึ้นช้าๆ “หากว่าเจ้ายังกลัวจะติดค้างข้าเรื่องคืนเข้าหออยู่ล่ะก็เจ้าไม่ต้องชดเชยอะไรให้ข้าอีกหรอกนะ ถึงข้าจะบอกให้เจ้ารักษาน้ำใจข้า แต่หากเจ้าฝืนใจนักก็หาจำเป็นไม่ ข้าหาได้โกรธเจ้าไม่หากเจ้าไม่อยากกลับบ้านกับข้า ข้าพูดจริงนะซื่อชวิน เจ้า…ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น”
“เดี๋ยว…ข้าว่าเจ้า…” เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว
แถมยังส่ายหน้าคลี่ยิ้มราวกับเข้าใจนักหนาเสริมทับอีก ลู่หานฉวยห่อผ้าไปถือ หากว่าซื่อชวินไม่ได้กำลังทำหน้างงสุดกู่มีหรือเจ้าตัวจ้อยนี่จะคว้าไปได้ แถมท้ายตบไหล่ราวกับให้กำลังใจนี่มันอะไรกัน ลู่หานตีความเข้าใจไปคนเดียวใหญ่โตแล้วว่าคนอย่างเขากำลัง ‘ฝืนใจ’ ลูกใหญ่!
“ไปๆ เจ้ากลับบ้านได้แล้ว เดินอีกเดี๋ยวข้าก็ถึงบ้านข้าแล้ว เจ้าส่งข้าตรงนี้พอ พ้นซอยหน้าข้าต้องเดินผ่านตลาดใหญ่ คนพลุ่กพล่านนัก ข้ารู้หรอกว่าเจ้าเบื่อคำนินทาคนขนาดไหน เดินกับข้าอย่างไรก็ต้องมีคนซุบซิบแน่ เพราะฉะนั้นข้าจะเดินไปอะ…”
“ข้าไม่ได้ฝืนใจลู่หาน ต่อให้ไม่อยากฟังคำนินทาคนอย่างไรแต่ข้าไม่เคยเบื่อเจ้า”
เจ้าคนดื้อ พูดเจื้อยแจ้วแต่ไม่คิดฟังความจริงจากใจเขาสักนิด
“……”
“แล้วนี่อะไร เจ้าเอาแต่คิดว่าข้าไม่อยากกลับบ้านไปด้วยอยู่เรื่อย! ข้าไม่ได้บอกเจ้าอยู่ตลอดหรือว่าอยากไป เหตุใดเจ้าถึงได้คอยคิดแทนข้านัก ข้าบอกว่า ‘อยาก’ ก็แปลว่าอยากสิ คนทึ่มอย่างข้าคิดซับซ้อนเป็นที่ไหนเล่า! แล้วเดินกับเจ้ามันทำไมหรือ ไม่ใช่ว่าเราเดินข้างกันมาตั้งแต่แม่ข้าพาเจ้ามาที่บ้านตอนตัวเท่านี้แล้วหรือไง เจ้าเกิดคิดกังวลขึ้นมาตอนนี้มันจะทันรึ หรือเป็นผัวเมียแล้วเดินด้วยกันไม่ได้?”
สิ้นประโยคยาวยืดนั่นนักวาดตัวน้อยยืนนิ่งพลันก้มหน้างุด บ่นอุบเรื่อยที่ชวนให้ซื่อชวินเผลออมยิ้มอีกหน เป็นครั้งที่สามที่ก่อนหน้าเขาตัดสินใจเด็ดขาดว่าอย่างไรก็ห้ามเกิดแต่ทำไม่ได้
“…ก็เพราะว่าตอนนี้เจ้ากับข้าเป็นผัวเมียกันน่ะสิ เดินไปทางไหนคนเขาก็มองกันทั่ว เดี๋ยว จ…จะทำอะไรของเจ้าน่ะซื่อชวิน! เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่าเนี่ย ทะลุออกหูไปหมดแล้วหรือ?!”
อุ่นไอร้อนแผ่ซ่านทั่วฝ่ามือ คนหนึ่งหน้างุ้มอีกคนระบายยิ้มยั่วโมโห ใครมาเห็นเข้าเขาได้หัวร่อเอาไปพูดต่ออีกสิบบ้านว่าตระกูลอู๋มีลูกชายกับสะใภ้กำลังง้องอนกันข้างถนนแน่! ลู่หานเลิ่กลั่ก บิดมือจวนจะเจ็บอยู่รอมร่อแต่เจ้าทึ่มอย่างอู๋ซื่อชวินกลับลอยหน้าลอยตาไม่หยุด
“ข้าอยากลองจับมือเมียอวดชาวบ้านดูบ้าง, หรือว่าไม่ได้?”
จะได้เลิกคิดเสียทีว่าฝืนใจ ประเดี๋ยวจะยิ้มอวดฟันให้ทั่วเมืองเลยเถิด!
“เจ้าประชดข้าหรือ!”
คนฟังส่ายหน้า ตลอดมาลู่หานชอบคิดว่าเขาเป็นพวกไม่ได้เรื่อยดีแต่ตีรวนไปวันๆ ทุกที ซื่อชวินไม่มั่นใจนักหรอกว่าบอกผ่านสายตาได้ชัดเจนพอหรือยัง กรอบสายตาเขาเห็นแต่เพียงลู่หาน เห็นเพียงเพื่อนวัยเด็กที่โตมาด้วยกันจนหลงลืมไปเสียทุกสิ่งว่าจริงๆ แล้วตนเองมี ‘ใครอีกคน’ เต็มใจ
…เขาแค่…ไม่อยากให้เจ้าเพื่อนสนิทตัวเล็กตรงหน้านี้ เข้าใจผิด…
…คงจะดีเสียกว่าหากลู่หานได้รู้ว่าเรื่องใดเขาหาได้ฝืนใจไม่…
“ข้าไม่ได้ประชดเจ้า เพียงแต่ข้าทึ่มนักอย่างคำเจ้าว่า ถึงได้ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะเชื่อคำพูดข้าเสียที เจ้าอาจจะคิดว่าข้าชอบทำตัวแปลกนัก แต่…แต่ข้าบอกเหตุผลเจ้าไม่ได้นี่ อย่างไรก็จะไมบอกด้วยว่าทำไมถึงได้ชอบทำหน้าแบบนั้นบ่อยๆ” จะบอกได้อย่างไร ให้ตายตรงหน้าตอนนี้ซื่อชวินก็ไม่บอกหรอกว่าเขานี่แหละที่ ‘เผลอ’ คิดอะไรในหัว องครักษ์หนุ่มตีหน้าจริงจัง ซื่อชวินกุมมือลู่หานเบาๆ ก่อนพูด “เรากลับบ้านเจ้ากันได้หรือยัง ข้าจะไม่ล้อแล้วก็ได้ว่าเจ้าแอบเก็บรูปข้าเป็นกระบุง น่านะ กลับบ้านกันนะลู่หาน”
“ข้าไม่ได้เก็บรูปเจ้าเป็นเบือสักหน่อย…”
จับมือมาก็บ่อย เพียงแต่ว่าครั้งนี้…
“เก็บไว้บ้างก็ได้น่า! เมื่อก่อนตอนเจ้ายังวาดหัวคนเป็นเส้น ข้าน่ะนั่งนิ่งจนยุงตอมหัวเป็นแบบให้เจ้ามาตั้งเท่าไรกว่าเจ้าจะวาดเก่งขนาดนี้ อะไรกัน ไม่นึกถึงน้ำใจข้าบ้างเลยหรือ นี่ อย่าบิดมือออกสิ ข้าบอกว่าจะจับมือเมียเดินอวดคนทั่วเมืองอย่างไรเล่า”
ร้อนไม่ว่าแต่ดันรุกลามไปไกลกว่ามือที่จับ…
“ก็ได้ๆ ข้ายอมแล้วตกลงหรือไม่ ด…เดินตามมาสักทีมัวแต่พูดอยู่นั่น…”
“ตอนเจ้าว่าง่ายแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” ซื่อชวินยิ้มร่าพลางแกว่งมือที่จับกันไม่ปล่อยกับลู่หานแล้วชูขึ้นสูงเหมือนเด็กๆ เขากลั้วหัวเราะยามเห็นหลังหูลู่หานแดงก่ำ ไม่อยากเดาเสียด้วยสิว่า ‘ก่ำโกรธ’ หรืออะไรกันแน่ กว่าจะเดินถึงบ้านเจ้าคนดื้อคงนานพอที่ซื่อชวินจะควานหาคำตอบเจอแน่ๆ “จริงอย่างที่แม่ข้าเคยพูดเอาไว้จริงๆ ด้วย รู้อย่างนี้ตอนนั้นข้าไม่เถียงคอเป็นเอ็นเสียก็ดี”
“เจ้าก็เถียงท่านแม่อยู่ตลอดทุกทีนั่นแหละ จริงเจิงอะไร รีบเดินเลย!”
บอกให้รีบเดินไม่ใช่กระตุกแขนขอให้หยุด
เกลี่ยนิ้วโป้งบนหลังมือลู่หานไปเรื่อยแต่รั้งแขนกันไว้ไม่ให้ขยับ ใกล้เข้าเขตคนพลุกพล่านแล้วลู่หานไม่อยากตกเป็นเป้าสายตามากขึ้นสักหน่อย เพียงแต่…เจ้าทึ่มนี่ดูท่าจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด ยังคงทำหน้าลิ่วล้อส่งให้ไม่เปลี่ยน ย้ำถึงสิ่งหนึ่งที่ใครต่อใครมักพูดให้แจ่มชัดในหัวลู่หานเข้าไปยิ่งกว่าเก่า
“เจ้าน่ารักจริงๆ”
“……”
“น่ารักอย่างที่ข้าต้องด่าตัวเองที่เคยเถียงแม่ไปว่าไม่เลย”
อู๋ซื่อชวินใครว่าเป็นเจ้าทึ่มกันเล่า
เขาน่ะเป็นองครักษ์ที่ร้ายเสียยิ่งกว่าชายใดต่างหาก
ลู่หานแทบไม่รู้จะเอาหน้าไปวางตรงไหนแล้ว ทำได้เพียงผินหน้าหนีอย่างคนประหม่าสุดชีวิต บอกตัวเองให้กดความรู้สึกประหลาดที่พุ่งพรวดอย่างฉุดไม่อยู่จนแทบบ้า แจ่มชัดเหลือเกินถึงคำที่ซื่อชวินพูดก่อนหน้าทุกครั้งที่เจ้าบ้านั่นกระชับมือเรียก ไม่ต้องหันหลังไปมองลู่หานก็รู้เต็มอกว่าซื่อชวินกำลังทำหน้าแบบไหน
…ได้แกล้งกันแบบนี้มีหวังคงกำลังยิ้มร่าแหง…
…เจ้าบ้านี่…เจ้านี่มัน…
“บ้านเจ้าแยกขวา ตรงไปทางซ้ายมันเลี้ยวกลับที่เก่านะลู่หาน”
“ข…ข้ารู้แล้วน่า”
ทิ้งให้คนเดินนำหน้าทำตัวไม่ถูกก้มหน้างุดร้อนไปทั่วแก้ม
ซื่อชวินคิดจะล้อลู่หานอีกสักประโยคอยู่หรอกหากสายตาเขาไม่ได้เหลือบเห็นว่า ‘ใครบางคน’ ยืนแอบอยู่หลังร้านขายโคมไฟตรงหัวถนนมุมซ้ายที่ลู่หานตั้งท่าจะเดินไปผิดทางนั่น ลมหายใจเขาพลันสะดุด อย่างเช่นมือที่คล้ายจะบิดออกเองโดยไม่รู้ตัวนั่น เพียงสบตากับนัยน์ตากลมคู่นั้นซื่อชวินถึงได้พึงระลึกถึงความจริงเข้าให้
ในจังหวะเดียวกันที่ลู่หานหยุดเดินและเหลียวหลังกลับมามองทั้งที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมให้ซื่อชวินเห็นตัวเองหน้าแดงแจ๋แล้วเก็บไปล้อซ้ำรอยเก่า คนตัวเล็กเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าอยู่ดีๆ เจ้าทึ่มก็บิดมือออกดื้อๆ ร้องถามเสียงใสเรียกให้คนเดินตามหลังหาคำมาตอบแทบไม่ไหว
“มีอะไรหรือ ข้าเปล่าเดินไปผิดทางอีกแล้วสักหน่อย เจ้าเป็น…”
“มือข้าเหงื่อออกกลัวเจ้าเปียกไปด้วยน่ะสิ เร็วๆ แยกขวาบ้านเจ้าน่ะถูกทางแล้ว”
“เอ๋…แต่ข้าเห็นเจ้ามอง…”
สับส่ายสายตามองไปทั่วราวกับกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
ทว่าซื่อชวินไม่ปล่อยให้ลู่หานมีโอกาสซักถามเขาต่อ ออกแรงดันหลังเจ้าคนรั้นไปทีให้รีบเดินเสียก่อนพร่ำบอกว่ากลัวจะไม่ถึงบ้านสักที ประเดี๋ยวพ่อเจ้าได้แหกอกข้าแหง ชวนให้ลู่หานเม้มปากยั้งคำถามที่อยากรู้ไม่แพ้ครั้งใดลงอก แกล้งง้างมือทำทีเป็นจะฟาดสักปาบอู๋ซื่อชวินก็ทำทีเป็นร้องโอ๊ยจนน่าหยิกให้เขียว
ใครจะรู้ดีเท่าซื่อชวินอีกว่าเมื่อครู่ก่อนจะพ้นโค้งแยกนั้นมาในอกเขาร้อนรนอย่างไรบ้าง
ความจริงที่พลันระลึกได้แล่นฉิวเหลือเกิน ผัวเมียหรือ…ผัวเมีย…
ยามได้พบหน้า ‘นาง’ เขาถึงได้ตระหนักรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ระหว่างตนกับลู่หานแท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากใหญ่ที่เราลงเรือเต็มใจสร้างมาด้วยกัน มัดแน่นคล้ายสัญญาใจ แต่ความจริงแล้วกลับตรายึดด้วยสัญญาหนึ่งฉบับที่ยับย่นและมีเพียงปลายดินสอร่าง
‘หกเดือน…นับจากนี้เราจะหย่ากัน’
‘……’
‘……’
‘ตกลง แล้วหลังจากนั้น…ข้าจะปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ’
สายตาเคลือบแคลงที่นางมองมายามเขาจับมือลู่หานแน่น
สะท้อนความจริงว่าทุกสิ่งที่ทำมา สัญญาหกเดือนนับวันหย่าร้างที่ว่าของตนกับลู่หาน ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสะพานหนึ่งในการเดินไปหานาง หญิงสาวที่รักเต็มอกคนนั้นไม่ใช่ใคร
…ลี่จู…
To be continued.
#วาดหัวใจเขียนรัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น