180 days before we break up | บทที่ ๓ ไม่ปลื้ม ไม่โกรธ ไม่ได้ง้อ




180 days before we break up
บทที่ ๓ ไม่ปลื้ม ไม่โกรธ ไม่ได้ง้อ



คืนเข้าหอพร้อมวันวิวาห์ ผ่านไปแล้ว

ทว่าสายตาสอดรู้พร้อมคำถามนับพันยามลู่หานก้าวเท้าผ่านประตูวังหลวงไม่ได้ลดน้อยลงสักนิด

กระทั่งนางกำนัล ข้ารับใช้ หรือแม้แต่ทหารอารักขาก็ยังมิวายเมียงมองจนขนลุกซู่ จริงอย่างที่เคยคิดเอาไว้จริงๆ ว่าไม่มีใครหรอกจะไม่สนใจงานแต่งของท่านหัวหน้าองครักษ์กับเพื่อนสนิท จิตรกรมือดีของวังหลวงที่พ่วงตำแหน่ง คนโปรด ขององค์ชายแปดอย่างลู่หาน

กว่าความคิดจะจบลง ปลายเท้าลู่หานก็หยุดตรงหน้าประตูตำหนักเสียแล้ว ไม่ต้องแสดงตนว่าเป็นใครหรือมีธุระใดถึงจำต้องมาเข้าเฝ้า ทหารหน้าประตูก็ยิ้มรับและรีบเปิดให้อย่างเช่นทุกที ภายในตำหนักกว้างขวางและโอ่อ่าสมฐานันดรศักดิ์ ลู่หานกระชับม้วนกระดาษเข้าหาตัวแน่น ยิ้มรับเมื่อเห็นว่าขันทีคนสนิทสังเกตเห็นกันเข้าแล้วหลังจากปล่อยให้ลู่หานตกเป็นเป้าสายตานางกำนัลทั้งหลายจนทำตัวไม่ถูก

มันจะไปทำตัวถูกได้หรือ เจ้าทึ่มนั่น ชื่อเสียงกระฉ่อนใช่เล่นที่ไหนล่ะ

ท่านหัวหน้าองครักษ์ คุณชายตระกูลอู๋ บุตรชายอดีตขุนนางน้ำดี หากบอกว่าซื่อชวินเป็นคุณชายคนหนึ่งที่ร่ำรวยทั้งฐานะและหน้าตาก็คงไม่ได้ผิดไปจากความจริงแม้แต่น้อย

แต้มต่อเป็นหน้าตาหล่อเหลาอีกนั่น เสียอย่างเดียวคือขยันทำตัวน่าโมโหน่ะสิ!...

“อะไรกัน ท่านเพิ่งแต่งงานเมื่อวานก่อนไฉนเลยจึงทำหน้าบอกบุญไม่รับเช่นนี้เล่า”

“อย่าล้อข้าเช่นนั้นได้ไหมเล่า ข้าไม่ดะอยากแก้ตัวอยู่หรอก หากไม่ติดว่ามีใครอีกคนโพล่งขึ้น

“ล้อไม่ได้หรือ ก็นึกว่าข้ากับเจ้าคนกันเองเสียอีก”

“องค์ชาย

“อยากวาดรูปกับเจ้าจะแย่ ตอนแรกก็ว่าจะคว้าตัวเจ้าสาวตัดหน้าเจ้าบ่าวมาอยู่หรอกนะแต่กลัวหัวหน้าองครักษ์คนนั้นจะอดแตกตายได้เสียก่อนได้เจ้าเป็นคู่” ชุนเทียน หัวเราะ เขาผายมือเป็นเชิงให้ลู่หานนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวของโต๊ะกลม ป้องปากบอกขันทีรับใช้ให้ยกชามา ขณะเดียวกันก็จับจ้องใบหน้าของนักวาดคนโปรดไม่คลาย เอื้อยเอ่ยคำพูดที่คงไม่รื่นรมย์นักเบาๆ “ตั้งแต่เจ้าแต่งงานนี่

“ทำไมหรือพะย่ะค่ะ”

“คืนเข้าหอสมควรจะทำให้เจ้าเอิบอิ่มมากว่าถมึงทึงมิใช่หรือลู่หาน”

……

“ข้าเห็นมีเจ้าคนเดียวที่แต่งงานแล้วไม่ยินดีแบบนี้”

ไปจี้จุดอะไรเข้าแน่ ชุนเทียนมั่นใจนัก

ต่อให้ลู่หานจะโบกมือปฏิเสธ วางอุปกรณ์วาดภาพที่ขนมาลงบนโต๊ะคล้ายไม่แยแส ก็ไม่อาจปิดบังได้มิดหรอกว่าภายใต้ใบหน้าชวนมองนั่นกำลังฟ้องความรู้สึกใดบ้าง คล้ายจะเป็นความไม่พอใจ ราวกับไม่อาจพูดออกไปได้ ท้ายสุดคงเป็นอาการของคน ใจน้อย ที่กำลัง ใกล้หมดความอดทน เบาๆ เสียมากกว่า

“หม่อมฉันเปล่าเสียหน่อยพะย่ะค่ะ องค์ชายอย่ามัวแต่ล้อหม่อมฉันนักเลย ลำพังส่งของขวัญแสดงความยินดีไปให้ลู่หานคนนี้ก็แทบจะรับไว้ไม่ไหวแล้ว เช่นนั้นแล้ววันนี้ทั้งวัน องค์ชายประสงค์สิ่งใดก็รับสั่งได้ทุกเรื่องเลยนะพะย่ะค่ะ ลู่หานยินดีทำให้ยิ่ง”

ป้อยอเก่ง อ้อนเก่งเสียด้วย ชุนเทียนกระตุนยิ้ม มองคนช่างจ้อที่ตนพยายามนึกว่าหากอยู่ต่อหน้าสามีจะเป็นอย่างไรแล้วขันนัก ราชนิกูลหนุ่มพยักหน้า ใครๆ รู้กันทั่วว่าเขา โปรด ลู่หานยิ่งกว่าใครในสำนักศิลป์ ยามเจ้าตัวถกแขนเสื้อฝนสีมันถึงได้ชวนมองไม่สร่างเช่นนี้

“ครั้งก่อนข้าลงเส้นเอาไว้ มาคราวนี้คงได้ลงสีเสียที องค์ชายมองไม่หยุดแบบนี้หม่อมฉันลงสีผิดๆ ถูกๆ เดี๋ยวก็ได้ขายหน้าพระองค์อีกหรอก ข้ารับใช้อยู่กันทั่ว ให้คนเขาลือแค่เรื่องหม่อมฉันแต่งงานกับอู๋ซื่อชวินก็พอแล้วพะย่ะค่ะ อย่าเพิ่งหาเรื่องใส่หัวอีกเลย อองค์ชาย

มือวางลงบนกลุ่มผม

“ใครจะพูดอย่างไรก็ช่างเขาเถิด ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าตรงๆ เลยมิใช่หรือ” ชุนเทียนระบายยิ้ม เขาจับเจ้าผ้ารัดผมสีขาวสะอาดพลางลูบไปมา สิ้นคำครหาว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายแปดกับจิตรกรมือดีของวังหลวงเป็นมากกว่าสหายสนิทก็ตอนที่ข่าวแต่งงานประโคมทั่วเมืองหลวง

พิธีวิวาห์ระหว่างชายด้วยกันนั้นกระฉ่อนทั่ว กลบทุกข่าวลือที่เคยมีมาจนหมดสิ้น “แบบนี้ข้าก็ไม่มีคนคอยช่วยกันองค์หญิงเมืองอื่นอีกแล้วสิ เสด็จพ่อคงได้เพ่งเล็งข้าอีกแน่ แทนที่จะปวดหัวกลัวข้าลงเอยกับเจ้าแหงเลย ลู่หาน”

“องค์ชาย!ตรัสอะไรอย่างนั้นเล่า

“หยอกเจ้าเล่นเฉยๆ หรอก วันนี้ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเสด็จพี่พักใหญ่ เจ้านั่งรอก่อนแล้วกันนะลู่หาน นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำก็มาพอดี” ราชนิกูลหนุ่มเลิกคิ้วส่งสายตาให้รู้ ชวนให้ลู่หานผินหน้ามองทันควันก่อนจำต้องชะงักแล้วหุบยิ้ม มองขบวนเสด็จหาใช่ปัญหาใดไม่ ข้าราชบริพารตามติดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่ปัญหาที่ว่า “ข้าว่าแล้วเชียวว่ามีพี่ใหญ่ที่ใด ต้องมีเขาที่นั่น”

เพราะนอกจากเป็นหัวหน้าองครักษ์แล้ว เจ้านั่นพ่วงตำแหน่งองครักษ์ขององค์ชายใหญ่ด้วยอีกหนึ่ง อารักขาและคุ้มครองรัชทายาท ติดตามชิดใกล้คอยดูแลความปลอดภัยไม่ห่างน่ะคืองานของเจ้าทึ่มนั่นชัดๆ

“ระหว่างข้าคุยธุระกับพี่ใหญ่เจ้าก็นั่งรอกับเขาไปก่อนแล้วกันนะลู่หาน”

รอกับอู๋ซื่อชวินน่ะหรือ

ภาวนาให้ตำหนักขององค์ชายแปดไม่พังคามือไปก่อนแล้วกัน



/



ประตูห้องโถงรวมถึงห้องทรงงานแกมพักผ่อนขององค์ชายแปดชุนเทียนปิดเงียบลงแล้วเมื่อครู่ก่อน

ลู่หานยังจำได้อยู่หรอกว่าองค์ชายรับสั่งเอาไว้ว่าอย่างไรบ้าง บอกให้รออยู่กับอู๋ซื่อชวินจนกว่าจะเสร็จธุระ แถมยังใจดีถึงขนาดมอบห้องรับรองให้นั่งรออีกหนึ่งห้องถ้วน แถมด้วยนางกำนัลรับใช้ที่คอยอยู่ไม่ไกลอีกคน นางกำนัลหรือ ลู่หานลอบมองพวกนั้นแล้วอยากแค่นหัวเราะใส่หน้าตนเองนัก

เห็นทีคนที่นางอยากเมียงมองจะมีแต่อู๋ซื่อชวินเท่านั้นหรอก

เจ้าคนร่างยักษ์ที่สวมชุดองครักษ์เต็มตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ระเบียบทุกย่างก้าว ผิดกับคนที่สวมชุดเจ้าบ่าวแดงชาดเมื่อคืนจนจำแทบไม่ได้ เรียกสายตาจากพวกนางยกใหญ่แม้นิ้วนางข้างซ้ายจะมีแหวนหยกวงโตแสดงความเป็นเจ้าของแบบเดียวกับลู่หานเพื่อฟ้องสายตาว่า แต่งงาน แล้วก็ตามที

เสน่ห์แรงนักหรือ ลองได้รู้จักสิจะรีบเอามือก่ายหน้าผาก

“เจ้ามองข้าแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าหาได้ทำอะไรผิดไม่ อย่ามองเหมือนกำลังจับผิดข้านะ”

ร้อนตัวแบบนี้ ซื่อชวินไม่แน่ใจว่ามีมูลหรือเปล่า

เขากอดอก ปรายตามองใบหน้าจิ้มลิ้มของ ภรรยา ตัวจิ๋วไม่วางตา ให้บอกได้หรือว่าขัดใจเรื่องใด เผลอมองเจ้าผ้ารัดผมสีขาวนวลกี่หนก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาทุกเมื่อ ภาพก่อนหน้าโผล่ขึ้นมาเป็นฉากๆ ฟ้องให้ซื่อชวินเห็นเต็มตาว่า คนโปรด ที่ใครต่อใครใช้เรียกลู่หานไม่ได้น้อยเกินความจริงเลยสักนิด

รู้มานานแล้วแต่ไม่เท่าเห็นจริงเต็มตาสักหน่อย

ใครๆ เขาก็พูดกันทั่วว่าคนโปรดขององค์ชายแปดคือมือดีสำนักศิลป์

“เจ้าแต่งงานแล้วไม่รู้ตัวหรือ ทำตัวสนิทสนมล่วงเกินแบบนั้นได้อย่างไร” ซื่อชวินพูดเสียงเข้ม ขยับตัวเข้าหาลู่หานพลางจับข้อมือไว้แน่น ใบหน้างุ่นง่านไม่เบาจนลู่หานขมวดคิ้วมอง “ใครเห็นเข้าเขาจะเอาไปพูดต่อในทางที่ไม่ดี ไม่เห็นแก่หน้างี่เง่าของข้าก็นึกถึงหน้าตัวเองบ้างเถิดน่า”

“โกรธอะไรของเจ้าเนี่ย ฟึดฟัดอย่างกับเพิ่งเคยได้ยิน” จริง จริงตามที่ลู่หานเถียงทั้งสิ้น! ซื่อชวินทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คงอยากจะโต้ตอบสักคำแต่เถียงตัวเองเป็นพันครั้งแล้วทำไม่ได้น่ะสิ “เจ้าไม่ต้องมาบอกให้ข้าเห็นแก่หน้าตัวเองหรอก บอกตัวเองให้เห็นหัวข้าบ้างเจ้ายังทำไม่ได้เลย”

เมียในนามว่าขึ้นพลางเบือนหน้าหนี กระแทกใจคนมองอย่างซื่อชวินเสียจนจุกอก คนมีชนักปักหลังอันใหญ่เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก เมื่อคืนไม่ใช่แค่เรื่องพูดจายั่วโมโหหรอกที่ทำให้ลู่หานเลือดขึ้นหน้าแทบไม่อยากเมียงมองกันปานนี้ คนร้อนรนทำผิดเม้มปากแน่น ยอมรับเต็มอกว่าซื่อชวินรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาดื้อๆ

“ทำไมกลายเป็นเจ้าหันกลับมาว่าข้าได้ละ

“ว่าเจ้าเสียบ้างสิเจ้าจะได้สำนึก” จิตรกรตัวน้อยผินหน้ากลับมามอง ลู่หานไม่ได้ชักมือออกเสียด้วยซ้ำแต่ทำให้คนทำผิดอย่างซื่อชวินร้อนรนจะบ้า เรื่องใดซ่อนในใจเขารู้เต็มอก ทว่ากระดากปากเกินกว่าจะยอมรับออกไปตรงๆ “ถ้าเจ้ามีปัญหากับการที่องค์ชายแปดเอ็นดูข้ามากนักข้าจะระวังตัวให้มาก สมใจเจ้าหรือยัง”

“เจ้าตีความความหวังดีของข้าเป็นอื่น”

“เจ้าต่างหากที่ตีความมากเกินความจริงไปไกล”

“ทำไมเจ้าดื้อกับข้านักนะ!

ลู่หานส่ายหน้าปฏิเสธ อดจะคิดไม่ได้ว่าเพราะเป็นเพื่อนกันมานานหรือ ซื่อชวินถึงได้ขยันมองข้ามหัวกันนัก เขาไม่ชอบยามลู่หานสนิทสนมกับองค์ชายแปดฉันท์มิตรสหาย ดุกันเสียงเข้มแถมยังทำหน้าถมึงโกรธด้วยความไม่พอใจว่าให้รักษาหน้าตนสักหน่อย แต่ตนเองก็ขยันทำตามใจชอบไม่มีเปลี่ยน

ไม่ไหวลู่หานน่ะกดความไม่พอใจไว้ไม่มิดเสียแล้ว

อยากกระเทาะอกซื่อชวินออกมาดูนักว่ามันกลวงหรือโบ๋ไปแล้วรึยังไง...

ภรรยาป้ายแดงจรดนิ้วลงบนอกองครักษ์ผู้ได้ชื่อว่าเป็น สามี เบาๆ พอแล้วที่จะเรียกสายตาซื่อชวินให้เหลียวมอง ลู่หานกัดปากคิดหัวแทบขาดว่าสมควรพูดออกไปแน่หรือ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ทนเก็บความคาใจเอาไว้ไม่ได้ ก่นบอกตัวเองว่านี่เพิ่งวันแรกของการเป็นสามีภรรยาด้วยซ้ำ แต่ก็ยังพรั้งพูดไปในที่สุด

เงยหน้าสบสายตามองเจ้าทึ่มที่เคยกอดขาอ้อนวอขอให้ร่วมชีวิตไม่คลาย

“เจ้าเองก็ดื้อ อู๋ซื่อชวิน”

“ลู่หาน

สมควรต้องรู้เสียบ้าง ว่าไม่มีสิ่งใดหรอกเป็นตามใจเขาไปหมด

“ปล่อยให้ข้านอนเป็นห่วงเจ้าอยู่ค่อนคืน ทั้งที่เจ้าเองเป็นคนบอกข้าเสียดิบดีว่าจะไม่ออกไปไหน แล้วคล้อยหลังข้าหลับเจ้าหายไปไหนมา ใครกันแน่ที่สมควรจะเห็นแก่หน้ากันบ้าง ใช่ข้าแน่หรือ รึเป็นเจ้ากันแน่”

ตลอดหลายสิบปีที่เป็นเพื่อนกันมา ซื่อชวินระลึกรู้เสมอว่าเวลาใด หรือน้ำเสียงแบบไหนที่แปลความได้ว่าลู่หานโกรธกันจริงๆ ไม่ใช่อย่างคำที่พูดบังหน้าอย่างฉุนเฉียว โกรธที่ออกมาจากใจไร้น้ำเสียงตะคอก หากแต่เต็มไปด้วยความเรียบเฉยที่ชวนให้คนฟังอย่างเขาหน้าชาไม่หยุด

ทอแววไปด้วยนัยน์ตาวูบไหว ไม่เจิดจ้าเหมือนเก่า

บอกชัดว่าลู่หานโกรธจริงไม่ได้แกล้งเล่น

“ขข้า

ทำตัวไม่ถูก ร้อนรนแต่ยังบีบมือลู่หานแน่นไม่ปล่อย

จิตรกรตัวน้อยเบือนหน้าหนี ความจริงแล้วลู่หานไม่สมควรไปโกรธอะไรเจ้าทึ่มนี่หรอก แค่อดจะหงุดหงิดไม่ได้ตอนที่ถูกซื่อชวินพาลใส่ว่าให้รักษาหน้ากันบ้าง ไปๆ มาๆ ก็หลุดถามความจริงข้อหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกไปจนได้ บ้านักบ้าจริงเชียว

ตัวเองไม่ใช่หรือที่ทำผิด ขยันทำหน้าเว้าวอนใส่ราวกับอยากขอโทษแต่ไร้คำพูดมันใช้ได้หรืออย่างไร

นานเชียวที่ความเงียบดำเนินคั่นกลางระหว่างเราสองคน เป็นลู่หานเองที่ถอนหายใจเบาๆ ผละมือที่ถูกซื่อชวินกุมเอาไว้เรียกให้เจ้าคนทึ่มหน้าสลดกว่าเก่า ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็ทำให้อู๋ซื่อชวินหน้าตื่นตัวแข็งทื่อ เพียงเพราะฝ่ามือน้อยที่เคยจับมาแต่เล็กทาบลงบนแก้ม

เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่สะท้อนใจให้เขารู้สึกผิดอีกกองใหญ่

“เจ้าไปหานางมาหรือ”

“ข้ารู้ว่ามันไม่สมควร แต่

“คราวหลังบอกข้าก่อนก็ได้ อย่าปล่อยให้ข้าเป็นห่วงเจ้าแบบนี้อีก”

พริบตานั้นซื่อชวินเผลอคิด ขณะมือลู่หานยังคงทาบแก้ม สายตายังคงจดจ้องตอกย้ำคำเดิมที่พูดก่อนหน้าว่า เป็นห่วง ว่าไม่สมควรเลยที่เขาจะเอาความเอาแต่ใจของตนเป็นที่ตั้งแล้วทิ้งเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างลู่หานให้นั่งรออยู่ค่อนคืนแบบนี้

“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าเป็นห่วง

ก่อนจะเผลอคิดขึ้นมาเงียบๆ

เห็นที เขาคงได้ฤกษ์ง้อเพื่อนที่เลื่อนมาเป็นเมียเสียแล้ว




/



คราวหลังบอกข้าก่อนก็ได้ อย่าปล่อยให้ข้าเป็นห่วงเจ้าแบบนี้อีก

คำพูดตัดรอน ไร้ความตัดพ้อแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเหลือล้นนั้น กำลังเล่นงานคนโง่เง่าอย่างเขาถึงที่สุด ใช่ว่าซื่อชวินไม่อยากพูดอะไรออกไปสักคำที่หวังจะช่วยทุเลาความรู้สึกเหล่านั้นของลู่หานลงสักเมื่อไร เพียงแต่เจ้าเพื่อนสนิทตัวน้อยนั่นดูท่าจะชังน้ำหน้าตนไม่เบาถึงได้ไม่เปิดช่องให้เข้าหาสักนิด


เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอก ต่อจากนี้ระวังให้มากจะดีกว่า ขืนเจ้าขยันทำตามใจชอบแบบนี้อีก วันใดถูกแม่เจ้าจับได้ขึ้นมาเถิดบ้านจะแตกจนเจ้าเข้าหน้าป้าอู๋ไม่ติด หากอยากให้สัญญาหกเดือนนับจากนี้ระหว่างเราไม่ขาดไปเสียก่อนก็หัดคิดให้มากกว่านี้ซะเจ้าทึ่ม!’

ลู่หาน ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องแม่ข้าจะรู้ แต่ข้าหะ…’

ห่วงหน้านางให้มากด้วย

‘……’

เข้าใจไหม ซื่อชวิน


เจ้าตัวจิ๋วนั่น บอกเขาเอาไว้แบบนั้น

วันหยุดเช่นนี้ ไม่มีงานหลวงใดต้องไปสะสาง แน่ล่ะว่าลู่หานเองสมควรต้องเดินไปมาอยู่ในบ้านตระกูลอู๋ไม่ต่างกันกับเขา ผิดกันตรงที่เจ้าตัวจงใจไม่มองหน้า ทำราวกับโกรธกันมาสักสิบชาติ นอนร่วมเตียงก็หันหลังให้ไม่เสวนาสักคำ เพียงเขาอ้าปากหมายจะพูดก็รีบตัดฉับไม่รับฟังกันสักครั้ง

คนที่เป็นฝ่ายงุ่นง่านเสียจนฟ้องสายตาคนอื่นเขาถึงได้มีแต่อู๋ซื่อชวินอย่างไรเล่า

“วันนี้ลู่หานต้องออกไปสอนเด็กที่โรงเรียนด้วยหรือ แม่ไม่เห็นจำได้” ฮุ่ยหมิงเปรยขึ้น ยามตนสอดด้ายเตรียมปักผ้าในมือพลางเมียงมองเจ้าลูกชายไม่น้อย มองกี่หนก็ตูมเป็นดอกบัวอยู่นั่น! ผัวไปทาง เมียไปทาง ทั้งที่เพิ่งตบแต่ง ใครเขาก็ว่าไม่ดีทั้งสิ้น คนแก่อย่างหล่อนถึงจำต้องหลอกถามอยู่นี่อย่างไรเล่า ว่าไอ้ที่ตาเห็นมันจริงอย่างหัวคิดหรือไม่ “แล้วเมื่อวันก่อนเกิดอะไรขึ้น เจ้าไปทำอะไรให้สะใภ้แม่โกรธเข้าหรือเปล่าหือ”

ก็เห็นลู่หานบอกปาวๆ ว่าไม่ได้โกรธ ทุกที

ซื่อชวินส่ายหน้า เขาคลายคิ้วให้หายขมวดไม่ได้ อย่างที่ไม่อาจสลัดภาพเจ้าเพื่อนสนิทตัวแสบนั่นที่ดีแต่ต่อว่าให้ออกไปจากหัวได้เสียที ลู่หานน่ะหรือแทบจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรด้วยซ้ำ แต่ทุกคำพูดและการกระทำบ่งชัดว่า หวังดี นั่นต่างหากเล่า ที่กำลังเล่นงานเขาเสียจนตรอก

“ข้าไม่กล้าทำให้สะใภ้ท่านแม่เสียใจหรอก” ไม่แน่ใจสักเท่าไร อู๋ซื่อชวินถอนหายใจลูกใหญ่ ก็ใช่ว่าจะไม่เคยโกรธกันเสียหน่อย ทะเลาะกันจนเผลอกระชากคอเสื้ออย่างตอนเด็กๆ นั่นก็เคยเป็น เพียงแต่เราไม่เคยต้องหมางใจกันเพราะเรื่อง ทำนองนี้ สักครั้ง “เห็นบอกว่ามีสอนเด็กๆ ถึงเย็น หรือไม่ก็คงออกไปชานเมืองนั่งวาดรูปกับพู่ชานเลี่ยเหมือนเคย อะไรกัน ท่านแม่ทำหน้าไม่ไว้ใจข้าหรือ”

“เจ้ามันน่าไว้ใจเสียเมื่อไรล่ะ” ขยันหาเรื่องมาให้หล่นปวดหัวน่ะงานถนัดซื่อชวินนักจะบอก! ต่อให้เจ้าลูกชายคนเดียวนี้จะไม่เคยทำให้ทุกข์ร้อนเรื่องใด แต่ ใจ น่ะใช่ว่าจะรักดีซะเมื่อไรกัน ฮุ่ยหมิงโบกมือเป็นเชิงว่าให้พอ หล่อนเปรยขึ้นคล้ายไม่มีความหมายเรียกให้ซื่อชวินฟังเงียบๆ “ถือเสียว่าแม่สอนเจ้าแล้วกัน อย่าหักหาญน้ำใจของคนที่หวังดีต่อเจ้านักเล่าซื่อชวิน ยิ่งเป็นคนที่คุ้นเคยกันมานาน ยิ่งไม่ควรทำ เจ้ารู้ใช่ไหม”

“แต่บางทีก็ใช่ว่าจะตั้งใจทำให้รู้สึกไม่ดี

ซื่อชวินกลืนคำพูดลงคอ เขาไม่ใช่นักแสดงดีเด่นเสียด้วยที่จะไม่หลุดพิรุธลูกใหญ่ว่าเผลอไปทำร้ายน้ำใจคนโปรดของท่านแม่เข้า สำนึกได้ก็เงียบเสียงทันควัน นั่งมองท่านแม่ปักลายผ้าด้วยความใจเย็นขณะพูดให้ฟังเรื่อย สะท้อนในอกหนักนักว่าต่อให้ตนจะมีตำแหน่งใดหรือเก่งขนาดไหน ก็ยังไม่ได้เรื่องอยู่ทนโท่

โดยเฉพาะเรื่องของความสัมพันธ์

สมกับเป็นเจ้าทึ่มที่ลู่หานด่านัก

“ตั้งใจหรือไม่ก็ต้องคิดให้มาก”

……

“และหากว่าคนที่หวังดีต่อเจ้าคนนั้นเป็นลู่หาน ก็ถือเสียว่าแม่ขอเจ้าอีกเรื่องได้ไหมซื่อชวิน อย่าทำร้ายน้ำใจเขานักเลย ช่วยแม่รักษาคำพูดว่าจะช่วยดูแลและเอ็นดูเขาหน่อยไม่ได้หรือ เกิดมาอาภัพมีแต่พ่อก็นับว่าลำบากมากแล้ว แม่บอกตั้งแต่เด็กว่าให้เจ้า รักน้อง ใช่ว่าจะให้เจ้าฟังทะลุหูเสียเมื่อไรเล่า”


‘…ลู่หานน้องชื่อลู่หานนะซื่อชวิน…’

แต่ข้าไม่อยากได้น้องนี่ท่านแม่ ข้าอยากมีเพื่อนเล่น ห่างกันปีเดียวนับเป็นเพื่อนไม่ได้หรือ ตัวนิดเดียวก็ใช่ว่าจะเล่นด้วยกันไม่ได้นี่นา นับเป็นน้องประเดี๋ยวข้าก็ต้องคอยโอ๋สิ เกิดเจ้านั่นล้มคะมำท่านได้บิดข้าหูเขียวโทษฐานไม่ดูแลอีก เป็นเพื่อน เป็นเพื่อน!’

ท่านป้า…’

เจ้านี่มันช่างต่อรองนัก! ก็ได้ๆ นับเป็นเพื่อนก็ได้แต่เจ้าต้องรับปากแม่ก่อนหนึ่งข้อ

โธ่…’

ถึงเป็นเพื่อนก็ต้องรักกัน ห้ามแกล้งเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่!’

เข้าใจขอรับ!’

แล้วก็ต้องรักน้องให้มาก รักน้องมากๆ


ตลอดมาซื่อชวินฟังผ่านและไม่เคยใส่ใจสักหน

ยิ่งท่านแม่ทวนถามถึงเรื่องเก่าในวันวานเขาถึงเพิ่งนึกออก ว่าครั้งแรกที่ได้เจอกับลู่หานเคยมีใครฝากฝังคำพูดใดเอาไว้บ้าง นานวันเข้าคำมั่นนั้นเลือนรางตามกาลเวลา หากวันนี้ท่านแม่ไม่ได้พูดซ้ำคงเป็นเขาเองที่หลงลืมและไม่ใคร่จะสนใจ ฮูหยินของบ้านส่งสายตาแกมดุปักผ้าไปเรื่อยไม่ได้สนใจเจ้าลูกโง่เง่าอย่างเขาแล้ว

ทิ้งให้อู๋ซื่อชวินวนคิดเสียหัวแทบแตกว่าจะหาวิธีใดรักษาน้ำใจของเจ้าเพื่อนตัวน้อยนั่นให้กลับมาเหมือนเก่าจนแทบบ้า บทจะหุนหันทำตามใจชอบก็ทิ้งประโยคส่งท้ายก่อนเดินลิ่วไปหาม้าคู่ใจไม่เหลียวหลังกลับ ใช่ลู่หานน่ะบอกว่าจะออกนอกเมืองไปวาดรูป กลับเมื่อใดไม่บอก สะบัดหน้าหอบของก็หนีลิ่ว

“เจ้าจะไปไหนน่ะซื่อชวิน! ไปง้อเมียหรือ?!

ไม่ตามไปหาได้หรือ บทจะเอาเรื่องปวดหัวยังกล้าแบกหน้าไปหาด้วยซ้ำ

“ใครว่าข้าจะง้อเมีย เอาเป็นว่าข้าอาจจะกลับเย็นหน่อยไม่ต้องรอกินข้าวเล่า!

อยากให้หายโกรธเฉยๆ หรอก

ง้อเง้ออะไรกัน



/



“ลู่หาน

“ศิษย์พี่ ข้ากำลังใช้สมาธิ”

“แต่เจ้าวาดยึกยืดนัก เดี๋ยวเขียนเดี๋ยวลบมาหลายแผ่นแล้วนะ” มากเสียจนนับไม่ไหว และพู่ชานเลี่ยไม่อาจทนมองศิษย์น้องของตนขยุ้มกระดาษเป็นก้อนกองรอบตัวได้อีกแล้ว เขายึดมือที่จับดินสอให้หยุดกับที่ ส่ายหน้าเป็นนัยว่าวันนี้ไม่จำเป็นต้องนั่งร่างภาพเอาเป็นเอาตายนักก็ได้ “เจ้าบอกอยากเปลี่ยนบรรยากาศลองวาดทิวทัศน์บ้างเพราะไม่ใช่งานถนัด แต่ข้าเห็นเจ้าไม่มีสมาธิมาร่วมชั่วยามแล้ว ไม่ได้ก็ไม่ได้เถิดน่า”

บูดเบี้ยวไปหมด วาดอะไรก็ไม่เป็นตามใจนึก

ลู่หานวางดินสอลงข้างกาย ไม่อยากถอนหายใจแล้วเพราะชักห่วงกลัวตนจะอายุสั้น ไม่เอาเสียดีกว่าหากต้องบั่นอายุตนลงเพราะเรื่อง ทำนองนั้น น่ะ เพราะยิ่งคิดแม้แต่การบังคับมือให้นิ่งยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ มือที่เท้ากับผ้ารองนั่งก็แทบจะพยุงตัวไว้แทบไม่ได้

เพราะเจ้านั่นทั้งนั้นเพราะเจ้านั่นคนเดียว

“ข้าไม่วาดแล้วก็ได้ สงสัยการวาดภาพทิวทัศน์จะไม่ใช่ทางของข้าแล้วสิ กลับไปวาดภาพเหมือนดูจะเข้าท่ากว่า ปล่อยให้ท่านเป็นมือหนึ่งในโรงเรียนคนเดียวไม่แย่งตำแหน่งท่าจะดีสุด แต่ข้ายังไม่อยากกลับเลย เราอยู่ดูพระอาทิตย์ตกก่อนดีไหมเล่า ท่านเคยบอกว่าชอบแสงเวลานั้นที่สุดไม่ใช่หรือ”

“หาเรื่องไม่กลับบ้านมากกว่า” ชานเลี่ยว่าพลางกลั้วหัวเราะ จี้ใจคนฟังเสียจนลู่หานทำหน้าตลก อดจะยื่นหน้าเข้าไปล้อไม่ได้เมื่อเห็นว่าเจ้าศิษย์น้องตัวดีไปไม่ถูกแบบนี้ “ข้าพูดเรื่องจริงล่ะสิ”

“เรื่องจริงที่ไหน ข้ากำลังเอาใจท่านต่างหาก”

“คราวนี้สามีเจ้าจะวิ่งแจ้นมาแหกอกถามกับข้าเหมือนคราวก่อนอีกหรือเปล่า ตอนเป็นเพื่อนว่าตัวติดกันเหมือนแฝดแล้วนะ มาบัดนี้เป็นสามีภรรยาไม่หนักกว่าเดิมหรือ บอกเลยว่าข้าขยาดเต็มทน กลัวอู๋ซื่อชวินจะบีบคอตัวเองเต็มแก่โทษฐานพาเจ้ามาซ่อนไม่ให้กลับบ้านน่ะ”

“เอาหัวข้าเป็นประกันตรงนี้เลยว่าไม่มีทาง!

“มั่นอกมั่นใจขนาดนั้นเลยรึ?” เขาถามเสียงสูง เลิกคิ้วมองคนพยักหน้าให้ที่ยังยืนยันคำเดิมไม่เปลี่ยน หวนนึกถึงเรื่องเก่าๆ ตลอดเวลาที่รู้จักกับลู่หานขึ้นมาแล้วยิ่งอยากหัวเราะ ไอ้ที่บอกว่าไม่มีทางน่ะ น่าจะแปลความได้ว่า ไม่มีทางไม่มาหา เสียมากกว่า “ก็เห็นทุกทีเวลาเจ้าหายไปไหนเขาก็วิ่งโล่มาตามเจ้ากลับทุกครั้งเอง”

“ตอนนั้นยังเด็กหรอกศิษย์พี่ ขาดเพื่อนเล่นก็ต้องรีบวิ่งหาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“ต่อให้โตจนอายุเท่านี้เขาก็ยังวิ่งตามหาเจ้าไม่เปลี่ยนเหมือนเดิมนั่นแหละ”

“ศิษย์พี่ ไม่พูดเรื่องเจ้านั่นไม่ได้หรือ

“ข้าก็นึกว่าเจ้ากำลังรอใครบางคนมาตามกลับบ้านเสียอีก” พู่ชานเลี่ยพูดปลอบเสียงอ่อน เขาสะบัดข้อเท้าไล่ความเมื่อยขบ ยามที่พระอาทิตย์บนฟ้ากำลังลาลับแสงสวยสุดจะบรรยายนัก คงจะดีไม่ใช่น้อยหากศิษย์น้องที่ตนร่วมเรียนมาจะสนใจภาพตรงหน้ามากกว่าใครบางคน “คราวหลังมีเรื่องกลุ้มใจก็อย่าเอาไปลงกับจานสี ดินสอ หรือกระดาษอีกเล่า มันเปลืองของไม่รู้หรือ”

“ข้ามีเก็บเป็นห้องๆ เปลืองก็ช่างประไร ข้าหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้นี่นา ก็ต้องลงเอากับกระดาษแล้วก็ดินสอแทนเหมือนทุกที ออกมาไกลถึงชานเมืองขนาดนี้หากบ้าตามมาชวนทะเลาะกันอีกทีข้าจะไม่ยอมแล้วคอยดูเถิด ขยันนักเรื่องทำให้ข้าปวดหัว” ขอให้ปวดหัวอย่างเดียวก็พอแล้ว ลู่หานบ่นอุบ ยิ่งศิษย์พี่บีบไหล่ราวกับกำลังบอกว่า ไม่เป็นไร ยิ่งทวีให้อยากกดความรู้สึกในอกลงอย่างที่กำลังหลับตาโยนขว้างสิ่งรอบตัวทิ้งนัก “อยู่จนกว่าพระอาทิตย์จะตกไม่ได้หรือ รออีกหน่อย ค่อยกลับบ้าน

หูแว่วนักถึงได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าเร็วอย่างนี้

“พนันด้วยพู่กันด้ามแพงกับข้าไหมเล่าว่าเจ้าคิดผิด”

พู่ชานเลี่ยโพล่งขึ้นเบาๆ ไม่ได้คิดทำลายบรรยากาศ

เขากระตุกยิ้ม ก่อนหน้านี้เพิ่งบอกลู่หานไปหยกๆ ว่าต่อให้เวลาจะวนเปลี่ยนเดินหน้าไปกี่ปี หลายสิ่งอาจจะเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ แต่สำหรับเขาที่เห็นลู่หานและอู๋ซื่อชวินมาพร้อมๆ กันนั้น กล้าพูดเต็มปากว่ากี่ปีเปลี่ยนผ่านแต่สายสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อนระหว่างคนทั้งคู่ยังเหนียวแน่นเหมือนเก่า

ถึงได้บอกอย่างไรเล่า ว่าไม่ว่าเมื่อไร ยามใครสักคนหายหน้าเป็นต้องมีอีกคนตามหาทุกที

……

“ลืมตาดูเร็วเข้าลู่หาน, คนที่เจ้าว่าไม่มีทางมาหายืนหอบตัวโยนอยู่ตรงท่าน้ำแล้วไม่รู้รึ”

ชานเลี่ยบุ้ยปากพลางยกมือทักทายคนที่กำลังหอบแฮ่ก กระวีกระวาดผูกม้ากับเสา จ้ำอ้าวเดินเข้ามาไม่รีรอ เรียกให้เขาเสียอีกที่จำต้องลุกทันควันเพราะไม่อยากถูกซักถามคำใดเหมือนครั้งก่อน ทิ้งให้ลู่หานที่ยังคงไม่ยอมเหลียวมองนั่งนิ่ง ปล่อยให้อู๋ซื่อชวินนั่งแทนที่

อดยิ้มกริ่มและคิดขึ้นมาในใจเสียได้ ไม่ใช่พู่กันด้ามแพงแน่ที่ลู่หานต้องเสียให้เขา แล้วที่สำคัญกว่านั้นพู่ชานเลี่ยเหลียวหลังกลับไปมองที่เก่า เขาเห็นอู๋ซื่อชวินที่ลู่หานมักเรียกว่าเจ้าทึ่มกำลังขยับตัวเอาไหล่ไปชิดศิษย์น้องตนทีละน้อย คงกลัวจะโดนผลักออกถึงได้ทำหน้าตลกจนตนต้องกลั้นขำ

ของเดิมพันที่ต้องเสียน่ะหาใช่พู่กันไม่

แถมคนที่จะได้ไปก็ไม่ใช่เขาเสียด้วย

โธ่เอ๊ยก็บางเรื่องมันเดาได้เสียทีไหนว่าจะหัวหรือก้อย



/



ไม่ใช่ว่า ลู่หานบอกศิษย์พี่เอาไว้หรือว่า ไม่มีทาง แถมยังเอาหัวเป็นประกัน

ไม่ใช่ว่า ลู่หานบอกตัวเองเอาไว้หรือว่าหูแว่วนัก ถึงได้เพี้ยนเสียจนได้ยินเสียงเท้าม้าดังกุกก่อนหยุดนิ่งตรงท่าน้ำ ทุกสิ่งพลันพังทลายลงกับตาชวนให้ลมหายใจของคนตั้งใจหนีหน้าสะดุดนักเมื่อหัวไหล่สัมผัสได้เบาๆ ว่า ใครอีกคน หนึ่งกำลังเบียดมาใกล้พาตัวมาชิด แต่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำจนลู่หานต้องลืมตามอง

“เจ้าเป็นเจ้าทุกที จิตรกรตัวน้อยเชิดหน้ามอง อู๋ซื่อชวินยังทำหน้าไม่รู้เรื่องเหมือนเก่า ติดก็ตรงที่หน้าผากมีเหงื่อเกาะทั่วจนผิดวิสัย สายตาล่อกแล่ก มือไม้เก้กังเสียจนอยากจับให้นิ่ง “ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าจะออกมาวาดรูปกับศิษย์พี่ ตามมาทำไม?”

ตรงประเด็นอย่างกับยกดาบมาแทงกันเลยเถิด!

ตามมาทำไมตามมาทำไมอย่างนั้นรึ

“ไม่ได้ตาม”

……

“ใครว่าข้ามาตามเจ้า บังเอิญมีงานด่วนต้องรีบมาแถวนี้หรอกข้าถึงได้แวะมา ก็เจ้าบอกเองว่าจะมาชานเมือง ชานเมืองของเจ้าจะมีสักกี่ทีเชียว เย็นขนาดนี้แล้วด้วยเจ้าก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน ทำไม? หรือเตียงในห้องนอนข้ามันไม่นุ่มหรือเจ้าถึงไม่อยากนอนน่ะ?”

คำขอโทษที่หวังจะพูดถูกกลบจนมิด ซื่อชวินยักคิ้วใส่ บอกไม่ถูกเชียวว่าใจเขามันแกว่งเพียงใดยามลู่หานผินหน้ากลับมามองพลางใช้แววตาทวนถามว่า ตามมาทำไม จริงๆ แล้วเป็นเพราะเหตุผลนั้นที่เขาสมอ้างแน่หรือ พาลให้คนที่ควบม้ามาแต่ไกลทำตัวไม่ถูกเข้าให้

“แค่นั้นหรือ?” ลู่หานถามย้ำ “ตกลงว่าเจ้าห่วงข้าบ่นเรื่องเตียงในห้องเจ้ารึ”

ยากนักคำไม่กี่คำไม่เห็นง่ายเหมือนตอนขอร้องให้ทำตามใจสักนิด!

จะให้พยักหน้าบอกว่าใช่สิ ซื่อชวินก็กระดากเกินกว่าจะฝืนใจทำไหว คงนานเหลือเกินที่ลู่หานต้องทนรอคำตอบถึงได้ไม่คิดมองหน้าหรือสนใจกันอีก ทิ้งขว้างสายตาที่เคยมองกันและจดจ่ออยู่กับเพียงตะวันที่กำลังจะลับฟ้าสุดแม่น้ำ ปล่อยให้มือหนากำเสื้อตนเองแน่น บ้านักบ้าจริง

ตอนพลั้งตัวทำลงไปเขาไม่ได้คิดหน้าหลังหรอก ก่อนจะรู้ว่าเผลอทำให้ใครรู้สึกไม่ดีเข้า ปากก็หนักเสียเกินกว่าจะเอ่ยคำว่า ขอโทษ ออกไปต่อหน้า ยอมให้ลู่หานกระชากคอเสื้อเขาจนติดมือยังดีเสียกว่าเงียบไปไม่ส่งเสียงแถมยังเมินหน้ากันเสียอีก อะไรกัน เจ้าตะวันนั่นน่ามองกว่าหน้าโง่เง่าของเขาหรือ

องครักษ์ตัวยักษ์จนตรอก ไหล่ลู่ลงเสียจนหากลู่หานชำเลืองเห็นคงได้หัวเราะจนตาปิด ซื่อชวินเพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้เอง ว่าแท้จริงแล้วการยอมรับและสารภาพทุกความจริงอาจเป็นเรื่องที่เขาสมควรทำและดีที่สุดแล้ว ทว่าใครมันจะรู้เล่า แค่เปิดปากพูดคำเดียวลู่หานก็เถียงตอบทันทีแบบนี้

“เจ้าโกรธข้าขนาดนั้นเลยรึ”

“ข้าก็บอกเจ้าเป็นรอบที่สิบแล้วว่าไม่ได้โกรธไม่ใช่หรือ”

โกรธรึ โกรธอะไรล่ะ ลู่หานน่ะหรือจะโกรธ?

เขาบอกตัวเองแบบนั้น เถียงซื่อชวินไปทันควัน จะให้มาโกรธเพราะเรื่องแบบนี้มันใช่ที่ซะเมื่อไร หวังในใจนักว่าหากซื่อชวินเพียงแค่ผ่านมาแล้วบังเอิญเจอตนเข้า หายเหนื่อยเมื่อใดก็อยากให้เจ้าทึ่มนี่รีบควบม้ากลับบ้านเสียที เตียงนอนไม่นุ่มรึ หลังจะเดาะหรืออย่างไร ช่างเป็นการชวนคุยที่ห่วยแตกใช่เล่น

“เจ้าโกหก! ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าหน้าข้าเจ้ายังไม่อยากมอง ไม่โกรธๆๆๆ แน่ใจแล้วหรือที่พูดออกมาน่ะ มันจะยากอะไรนักเล่ากับการบอกข้าว่าเจ้าไม่พอใจน่ะ จะโกรธข้าจนอยากต่อยสักหมัดก็ใช่ว่าข้าจะไม่ยอมเสียเมื่อไร เพียงแต่….” เขากลืนน้ำลายลงคอ “ไม่ว่าจะทะเลาะกันกี่หน เจ้าก็ไม่เคยอยากหนีหน้าข้าขนาดนี้ ขอเถอะลู่หาน จะโกรธข้าก็ได้ แต่อย่าหลบหน้าข้าเลย”

หันซ้ายหรือไปขวา ไม่ว่าทางใดซื่อชวินก็เห็นแต่ลู่หานเสมอ

วันใดหยุดเดินแล้วเหลียวกลับไปมองไม่เห็นหน้าใจเขาแกว่งเสียยิ่งกว่าอะไร

คนฟังมุ่ยหน้า สบตากับเจ้าทึ่มพูดเสียงสั่น

“ขข้าไม่ได้โกรธเจ้า นี่! ข้าก็มองหน้าเจ้าอยู่ไม่ได้หนีสักหน่อย”

“ดี! อย่าได้หนีล่ะเพราะข้าจะไม่ปล่อย!

ไม่ปล่อยแน่เพราะใช้มือกุมหน้าเจ้าคนรั้นอายุน้อยกว่าไว้เสียเต็มมือ

บังคับให้ลู่หานมองหน้าเขาอย่าได้หนีไปไหน ยิ่งนัยน์ตาหวานทอแววสั่นระริกที่ฟ้องให้รู้ว่า ไม่โกรธ แปลว่า โกรธ ซื่อชวินยิ่งต้องรีบพูด โยนทิ้งมันไปเถิดไอ้เรื่องเตียงนุ่มไม่นุ่มนั่น สิ้นคิดเหลือเกินดีแต่กวนโมโหมันใช่เวลาเสียเมื่อไร หลุดไปได้คราวนี้ไม่เขาถูกลู่หานสวนสักหมัดก็คงหอบผ้ากลับบ้านฟ้องพ่อแน่

ซื่อชวินถอนหายใจเฮือก เขาหลุบตาต่ำก่อนประสานสายตากับลู่หาน สารภาพทุกความจริงในคืนนั้นอย่างหมดเปลือก บอกให้ลู่หานรู้ว่าจะไม่มีอีกแล้วที่เขาจะทำตามใจชอบลับหลังโดยไม่บอกเพื่อนสนิทอย่างเจ้าตัวเป็นหนที่สองซ้ำรอยเก่า

“ในงานแต่งของเรา เจ้าเองก็รู้ใช่ไหมเล่าว่าท่านพ่อเชิญครอบครัวนางมาด้วย”

รู้สิ รายชื่อแขกเหรื่อที่เทียบเชิญเหล่านั้น มากสักเท่าไรก็จำไม่ลืมต

“ข้าทำใจไม่ได้หรอกลู่หานตอนถูกนางมองด้วยสายตาเช่นนั้น แม้เราจะรู้กันดีทั้งหมดว่าจริงๆ แล้วงานแต่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งบังหน้าเมื่อประวิงเวลาของข้ากับเจ้า เปล่าเลย นางไม่ได้ขอให้ข้าไปหานางหรอก นางไม่แม้แต่พูดด้วยซ้ำว่าอยากให้ข้าทิ้งเจ้าไว้ในคืนเข้าหอแล้วไปพบนางสักหน่อย”

……

“เป็นข้าเองคนเดียวที่ตัดสินใจออกไปแบบนั้น”

ยามพูดถึงนาง ไร้คราบเจ้าคนทึ่มแต่แสนจริงจัง

……

“จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้วข้ารับปาก ไม่ว่าไปไหนข้าจะบอกเจ้าให้รู้ทุกเรื่อง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้าไม่แพ้ใคร ข้าไม่ได้ชอบเสียหน่อยกับการที่ต้องถูกเจ้ามองเมินเช่นนี้ ยามเจ้าบอกข้าว่าเป็นห่วงนัก ถามข้าซ้ำว่าไปหานางมาหรือข้ายิ่งรู้สึกผิดที่ดีแต่ทำตามใจชอบ”

……

“โกรธข้าหน่อยเถิด อย่าใจดียอมข้านักเลย”

แววตาคนฟังวูบไหว นึกอยากตีอกซื่อชวินไม่น้อยแต่ทำไม่ได้ ถูกกักเอาไว้ด้วยมือร้อนผ่าวของเจ้านั่นใช่ว่าจะหนีได้ง่ายเสียเมื่อไร ลู่หานรู้แล้วว่าซื่อชวินน่ะจริงจังถึงเพียงไหน สารภาพจากใจเลยก็ได้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองโกรธจะบ้า แต่เป็นห่วงมากกว่าคือหนึ่งเรื่องจริงที่สะท้อนเต็มอก

เจ้าทึ่มนั่นจะพลาดท่าโผล่ไปให้ใครเห็นหรือเปล่า คนเขาจะนินทากันทั่วจนเสื่อมเสียหรือไม่หากพบว่าเจ้าบ่าวป้ายแดงที่สมควรจะเข้าห้องหอกับตน เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วตรอกซอยเพื่อพบกับหญิงอื่นในวันสำคัญ ลู่หานคิดวนไปหมดขณะนอนกอดผ้าห่ม กลัวป้าอู๋จะเห็นเข้าแล้วทะเลาะกันใหญ่โตนั่นก็ใช่

เป็นห่วงเป็นห่วง

ชัดเพียงความรู้สึกเดียวที่ไม่อาจควานหาว่าซุกซ่อนสิ่งใดไว้อีกหรือไม่

ลู่หานเม้มปาก หลับตาหนีความว้าวุ่นในอก พริบตาเดียวเท่านั้นก็ตบมือเจ้าคนทึ่มที่กุมหน้าตนเบาๆ ก่อนเอ่ยคำพูดที่ไม่ได้เจือไปด้วยความขุ่นเคืองแต่กลบเกลื่อนด้วยการล้อเลียนพลางลิ่วตาบอกขำๆ ยอมรับจากใจว่าลู่หานไม่อยากทำหน้าตึงใส่ซื่อชวินอีกแล้ว กลบมันไว้เสียดีกว่าเรื่องวุ่นใจที่มีเพียงตนคนเดียวที่รู้สึก

“ข้าบอกแล้วนี่ว่าไม่ได้โกรธ ใจดีอะไรของเจ้า เมื่อก่อนเจ้ายังบอกว่าข้าใจยักษ์อยู่เลยทำลืมหรือ”

“โธ่ก็ข้ามันปากหมา จริงๆ แล้วเจ้าไม่ดะ

“ทำไม? แล้วนี่อะไร บอกว่ามีงานด่วนหรือถึงได้แวะมาหาข้า ถามจริงเถอะเจ้าทึ่ม หากข้าโกรธจริง

……

“เจ้ามาง้อข้าหรือไง”

มือซื่อชวินสั่นกึก แก้มพาลร้อนเสียยิ่งกว่าแสงจากพระอาทิตย์

ไม่ทันไรก็ร่วงเผาะจนเก้ๆ กังๆ เรียกลักยิ้มจุดเล็กบนใบหน้าจากลู่หานได้ง่ายๆ จิตรกรตัวแสบส่ายหน้าเบาๆ ทั้งที่ยังอมยิ้มไม่คลาย ตะวันลับฟ้าแล้ว แสงสีเหลืองทองอร่ามทั่ว ริ้วเส้นสีแดงอมส้มเรียกให้สายตาหยุดมองราวกับตกภวังค์ เช่นเดียวกับน้ำหนักที่กดทับตรงหัวไหล่ทีละน้อยนั่น

ฟ้องสายตาลู่หานเหลือเกินว่าอู๋ซื่อชวินกำลังซ่อนใบหน้าด้วยการซบไหล่ตนเอาไว้เรื่อย ย่นระห่างที่เดิมทีก็น้อยเสียจนแทบชิดตัวให้เป็นศูนย์ ฉุดให้คนถูกใช้ต่างหมอนคิดขึ้นมาเงียบๆ ยามอู๋ซื่อชวินอยู่ต่อหน้านางช่างราวกับหนังคนละม้วนยามอยู่ต่อหน้าตนเองนัก

ต่อหน้านางเจ้าบ้านี่แสนจะขรึมและจริงจัง

“ข้าหรือจะมาง้อเจ้า ก็เจ้าบอกเองนี่ว่าไม่ได้โกรธข้าไม่ใช่หรือ”

ต่อหน้าลู่หาน เห็นจะมีเพียงแต่คนทึ่มสมฉายาที่แสดงให้เห็น

“ถ้าโกรธเจ้าจริงวันๆ หนึ่งข้าคงไม่เป็นอันทำอะไรแล้วเพราะเจ้ามันขยันทำตัวให้น่าฟาดสักทีตลอดเวลานัก เอาเวลาที่คิดจะโกรธเจ้าไปวาดภาพถวายองค์ชายแปดเสียยังคุ้มกว่า ได้เบี้ยมาซื้อของกินอร่อยๆ แถมยังได้เป็นคนโปรดที่ถูกเรียกบ่อยๆ น่ะดีกว่าอยู่กับเจ้าเยอะ ออู๋ซื่อชวิน!

ลู่หานน่ะวอนเสียแล้ว!

ซื่อชวินตวัดสายตามองค้อนฉับ กระตุกแขนเสื้อเจ้าเพื่อนสนิทตัวเล็กแล้วเอ่ยเสียงเข้ม

“วาดรูปถวายองค์ชายแปดก็ได้เป็นแค่คนโปรด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงยียวน “เจ้ามาวาดหน้าข้านี่ อู๋ซื่อชวินจะตบรางวัลให้งามกว่าที่องค์ชายแปดจะให้เจ้าเลยลองไหมเล่า แล้วที่สำคัญอีกหนึ่งเรื่อง ข้าจะพึงระลึกไว้เสมอว่ามีเจ้าเป็น เมีย คนหนึ่ง เจ้าเองก็ต้องจำเอาไว้ด้วยไม่ต่างกันว่ามี ผัว เป็นข้า”

“พูดบ้าอะไรของเจ้า! องค์ชายแปดปลื้มข้าแล้วมันหนักหัวเจ้าหรือ!

“องค์ชายปลื้มเจ้าแต่ข้าไม่โปรดนี่”

ลู่หานน่ะอยากทึ้งหัวตัวเองให้กับความหัวหมอของซื่อชวินนัก เขาแค่นหัวเราะหึพลางย้อนถาม คิดในใจเอาไว้เงียบๆ ว่าไม่แคล้วถามไปถามมาประเดี๋ยวคงได้เห็นคนเฉไฉทำตัวไม่ถูกอีกแน่

“อ๋อเหรอ แล้วตกลงว่าเจ้าผ่านมาหรือตั้งใจมาตามข้ากลับบ้านกันแน่?”

“ผ่านมา บังเอิญน่ะ บังเอิญ”

“ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้โกรธเจ้าเสียด้วย เจ้ากลับก่อนเลยแล้วกัน”

คนพูดทำท่ากระเถิบตัวหนี หากไม่ติดว่าซื่อชวินรั้งแขนเสื้อกันไว้เขาคงได้ลุกเสียทีแล้ว ตะวันลับขอบฟ้า เวลาพลบค่ำกำลังจะมาเยือน แม้จะมืดลงแต่ก็ยังสว่างพอจะเห็นว่ายามนี้อู๋ซื่อชวินกำลังมองกันด้วยสายตาสับสนปานใด จะยอมอยู่นิ่งฟังต่ออีกหน่อยก็แล้วกันว่าเจ้าทึ่มนี่จะพ่นคำใดให้แสลงหูกันอีก

“ออะไรของเจ้าอีก”

“ข้าบอกเจ้าแล้วนี่ว่าจะไม่ยอมปล่อย”

หมดเวลาซุกหน้ากับแขนเสื้อลู่หานแล้ว

ซื่อชวินน่ะหรือยังทำหน้ากระล่อนไม่เปลี่ยน ทว่ามีแค่เขาหรอกที่รู้เต็มอกว่าจะพูดคำใดต่อ แต่ซื่อชวินไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่าการขยับตัวเข้าหาลู่หานในครั้งนี้ไม่เหมือนก่อนหน้า เขาไม่ได้ซุกกับแขน แต่เกยคางกับไหล่เพื่อนสนิทไม่ห่าง ใกล้เสียจนเห็นว่าแพขนตาของเจ้าตัวนั้นงามไม่แพ้สิ่งใดบนใบหน้า

“อย่ามาแกล้งพ่นลมใส่หน้าข้านะซื่อชวิน”

“เรื่องเด็กๆ แบบนั้นใครจะทำกัน”

“แล้วเจ้าจะทำอะ

“มีอีกเรื่องต้องสารภาพกับเจ้าก่อนที่เจ้าจะไม่ยอมอยู่ฟัง”

เขาบอกลู่หานว่าอะไรนะ? ไม่ได้ง้อใช่หรือไม่?

……

องครักษ์หนุ่มไร้แววอ้ำอึ้งเหมือนก่อนหน้า ใครบอกว่าเขาดีแต่เล่นไปวันๆ เรื่องจริงจังทำตัวให้สมอายุน่ะซื่อชวินก็ทำเป็นใช่ว่าจะไม่ ยิ่งตอนนี้เขายิ่งต้องทำ คำใดเตรียมมาจากบ้านจะเก็บงำเอาไว้กับตัวแล้วไม่พูดกับคนที่ตั้งใจควบม้ามาหาถึงที่ได้หรือ จะมองข้ามน้ำใจไม่รักษากันไว้ได้อย่างไร

ไม่ได้ง้อนี่เรียกง้อซะเมื่อไร

“ถึงเจ้าจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องพูดแต่ข้าคงมองข้ามไม่ได้ ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเข้าใจเรื่องสัญญาระหว่างเราว่าอย่างไรบ้าง แต่ที่เจ้าพูดว่ากลัวแม่ข้าจับได้ ใช่ว่าเจ้าจะเป็นคนเดียวเสียเมื่อไรที่พะวงถึงข้าเพราะเรื่องนั้น”

เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอก ต่อจากนี้ระวังให้มากจะดีกว่า ขืนเจ้าขยันทำตามใจชอบแบบนี้อีก วันใดถูกแม่เจ้าจับได้ขึ้นมาเถิดบ้านจะแตกจนเจ้าเข้าหน้าป้าอู๋ไม่ติด หาก…’
ลู่หาน ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องแม่ข้าจะรู้ แต่ข้าหะ…’

คำที่เขาไม่ทันได้พูด

“เจ้าห่วงข้าแล้ว ข้าจะเป็นห่วงเพราะเจ้าไม่กลับบ้านบ้างไม่ได้เลยหรือ”

เป็นห่วง คำเดียวกันที่ลู่หานตอกย้ำใส่หัวคนทึ่มอย่างเขา

“ซซื่อชวิน พูดอะไรของเจ้าเล่า เกิดอยากเป็นห่วงเพื่อนอย่างข้าขึ้นมาระ

“ข้าขอโทษ” และนี่ต่างหากคือคำพูดจากใจของเขาที่ลู่หานสมควรรับรู้ว่าเจ้าเพื่อนงี่เง่าอย่างอู๋ซื่อชวินสำนึกผิดแล้วจริงๆ จนต้องแบกหน้ามาหาถึงที่ เอาคำขอโทษมากองตรงหน้า อ้อนขอให้รับมันไว้หน่อยเถิดเพราะเขาคงร้อนรนจนนอนไม่หลับแน่หากลู่หานยังโกรธกันไม่คลายแบบนี้ “คนทึ่มของเจ้าสำนึกผิดแล้วลู่หาน”

คนฟังเผลออมยิ้ม ลู่หานปรายตามองกลุ่มผมของเจ้าคนที่ยังเกยคางไม่ปล่อย แสร้งถามสั้นๆ ขณะสายตาทั้งคู่ยังมองเพียงเจ้าเพื่อนสนิทตัวยักษ์ที่ขยันทำตัวปวดหัวไม่ห่าง

“แล้วตกลงว่าเจ้า

ไม่ได้ง้อ?

“ก็ไม่ได้มาง้อสักหน่อย”

พูดไปเรื่อย แต่กลับทาบมือลงบนเรียวนิ้วของนักวาดตัวจิ๋ว ลู่หานตัวเล็กเท่านี้เองหรือซื่อชวินหยุดคิด เขาค่อยๆ คล้องกำไลเส้นเล็กที่ทำให้ตนควบม้ามาถึงที่นี่ช้ากว่าที่คิดเพราะมัวแต่ชะงักมองแผงขายเครื่องประดับริมทางในเมืองหลวงอยู่นานสองนานเพราะเผลอนึกถึง ใครบางคน เข้าดื้อๆ

ตั้งใจคล้องมันเอาไว้กับแขนขาวๆ ของลู่หาน

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านกันเถิด มืดแล้วเดี๋ยวจะเดินทางลำบะ

“ข้าไม่ได้มาง้อเจ้าจริงๆ นะลู่หาน”

……

……

“เหมือนที่ข้าไม่ได้โกรธเจ้าละมั้ง”

ตรงข้ามกับใจไปหมดทั้งคู่จนเป็นต้องซ่อนรอยยิ้มแล้วแสร้งมองทางอื่น

เสียงหัวเราะค่อยๆ ดังขึ้นหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เป็นลู่หานเองที่ลุกขึ้นก่อนทิ้งให้เจ้าคนทึ่มมองกันไม่วางตาขณะนั่งจมปุกอยู่ที่เก่า เขายื่นมือส่งให้เป็นเชิงว่ารีบลุกมาเร็วเข้าจะได้กลับบ้านกันเสียที เพียงซื่อชวินกระชับมือตอบ ความจริงแล้วเราอาจไม่ทันได้คิดเสียด้วยซ้ำว่านิ้วประสานกันแน่นตั้งแต่เมื่อใด

อาจเป็นชั่วขณะหนึ่งที่ทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง และมองเห็นแต่เพียงคนตรงหน้า

“อะไร ไม่กลับบ้านหรือ”

จนเผลอไม่ทันได้คิดด้วยกันทั้งคู่

อู๋ซื่อชวินยักไหล่ ปล่อยให้ลู่หานเดินนำหน้ากลับไปที่ม้า ไร้แววพู่ชานเลี่ยคอยท่าที่เขาเดาเอาเงียบๆ ว่าคงจะปลีกตัวกลับไปก่อนหน้าตั้งแต่ซื่อชวินมาถึงตรงท่าน้ำ สายตาจับจ้องเพียงมือที่ตนกำลังจับไว้ไม่คลาย ลองกระชับดูเข้า คนที่เดินนำหน้าก็เป็นอันชะงักเท้าเหลียวกลับมามอง

“ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามันไม่เหมือนกัน”

......

“เพราะข้าดั้นด้นมาหาเพื่อ ง้อ เจ้าจริงๆ”

แทนคำตอบว่าหายโกรธหรือไม่ ด้วยนวลแก้มสองข้างก็น่าจะเข้าท่า

“กกลับบ้านได้แล้ว!

“มือเจ้านุ่มดีแท้ ขอข้าจับนานๆ เลยได้ไหมเล่า”

“พูดอีกคำข้าจะควบม้าแล้วทิ้งเจ้าเอาไว้คนเดียวที่นี่คอยดูเถอะ”

ขายาวพอตวัดขึ้นหลังม้าหรือเปล่าซื่อชวินยังไม่แน่ใจเลย

ลู่หานยามไม่พูดขู่ แต่แก้มแดงก่ำน่ามองใช่เล่น

รั้นจะดึงมือออก ซื่อชวินก็ใจดียอมปล่อยให้เจ้าตัววิ่งดุกดิกคอยท่าอยู่กับเจ้าม้าตัวโปรดไม่ขัดเสียด้วย คนเคยจับแต่ดินสอวาดภาพมีหรือจะทำตัวถูกว่าต้องจับบังเหียนตอนไหน ก้าวเท้าอย่างไร หรือตวัดขาหรือเปล่า ยามเจ้าตัวแสร้งสนใจนักหนาถึงได้ไม่ทันระวังตัวว่าจะถูกใครเขารวบเอวกับอกจนต้องร้องเสียงหลง

เหวอ!

ถูกเขาอุ้มจนตัวลอยนั่งหลังแข็งบนลงม้าในชั่วพริบตา เรียกให้ซื่อชวินที่เหยียบเท้าก้าวขึ้นตามมาติดๆ กลั้วหัวเราะคลอข้างหู ปล่อยให้ผมสีดำสยายทั่วโชยลม สบโอกาสก็จับเชือกมั่นพลางกระทุ้งเท้าเบาๆ เรียกให้เจ้าม้าคู่ใจออกเดินทางอีกครั้ง พูดเปรยขึ้นเบาๆ ที่จงใจให้ลู่หานให้ยินเต็มสองหูขณะอกชิดกับแผ่นหลังเล็ก

“ทำเป็นแต่ฝนสีจนเล็บกุดแบบนี้เกิดเป็นอะไรเข้าจะทำอย่างไรเล่า”

“ใครบอกข้าทำไม่เป็น ก็เจ้าเล่นโยนข้าขึ้นมาไม่บอกสักคำ ซซื่อชวินนั่นมันหลุม!

“สงสัยข้าต้องสอนเจ้าแล้วละมั้งว่าการ ควบม้าเขาทำกันแบบไหน”

เสียงทุ้มกระซิบบอก ต่อให้จะถูกลู่หานกระทุ้งศอกใส่ก็หยุดซื่อชวินเอาไว้ไม่ได้บอกไว้เลย

“จเจ้า

“แวะโรงเตี๊ยมเลยดีไหมลู่หาน ถึงเตียงจะนุ่มไม่เท่าห้องข้าแต่ก็พอจะ อโอ๊ย

“ไอ้คนทะลึ่งอย่างเจ้านี่มัน!

ซื่อชวินหัวเราะลั่น เขาแกล้งร้องเจ็บไปอย่างนั้นเอง อย่างไรก็ไม่ปวดก้นเท่าคนที่ตนพาลงหลุมไปเมื่อกี้หรอก ม้าตัวใหญ่แล่นฉิวเร็วกว่าที่เคยเสียจนคนข้างหน้าซุกหน้าเสียจนแทบจะหลับตา รอบข้างมีเพียงโคมไฟดวงน้อยที่ส่องตามทางเท่านั้นที่พอให้เห็นแสงสี

“คนทะลึ่งอย่างข้ากับคนลามกอย่างเจ้า

“บบังคับม้าไปเถิดน่าไม่ต้องมากวนโมโหข้า

“ข้ากวนโมโหเจ้าที่ไหน ใจดีอยากสอนให้เจ้าด้วยซ้ำ”

……

“เรียนกับข้าไหมล่ะ จะได้ ควบม้า เก่งๆ”

แต่แก้มสีแดงปรั่งของลู่หานนี่สิ ต้องตาเสียยิ่งกว่าแสงจากโคมใดเสียอีก










To be continued.
ไม่รับไม้เรียวแล้วนะคะ แจกจ่ายความน่ารักแทนค่ะ5555 แง คนอย่างเอ็งมันต้องโดนอู๋ซื่อชวิ้น! เปิดตอนมาเป็นน้ำจิ้มให้ลองโดนด่าเล่นๆ ก่อนจะโดนด่าจริงๆ ขอบคุณทุกฟีดแบ็คมากๆ เลยนะค้าบ ฮือ อยากแต่งฉากเข้าหอจริงๆ สักทีค่ะ ต้องมีคนเสียอาการรร  ไปแน้ว เจอกันตอนหน้าค่ะ #วาดหัวใจเขียนรัก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม