180 days before we break up | บทที่ ๕ สัญญาแผลงฤทธิ์ (๓๐)




180 days before we break up
บทที่ ๕ สัญญาแผลงฤทธิ์

ข้าจะแต่งงานกับลู่หาน’
‘……’
หากทำแบบนี้…คงพอช่วยให้แม่ข้าหยุดคิดจะส่งคุณหนูบ้านโน้นบ้านนี้มาได้เสียที’
ซื่อชวิน’
‘……’
‘…ท่านหมายถึง…เขาหรือ?’


คำแทนชื่อเรียกว่า ‘เขา’ ที่ หลี่ลี่จู’ พูดถึงในคืนวันนั้นล้วนหมายถึงแต่ลู่หานทั้งสิ้น

สีหน้านางในวันนี้สะกิดใจเขาให้หวนนึกถึงวันที่เอ่ยปากบอกสิ่งที่จะทำนับจากนี้ไปอีกหกเดือนนัก คราวนั้นนางแทบไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมามากไปกว่าช้อนสายตามองเขาด้วยความน้อยใจด้วยซ้ำ ตกใจยังคงไม่เท่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะร่วมหัวจมท้ายจับมือลู่หานเข้าประตูวิวาห์และแต่งงานกันหรอก


ถ้าไม่ใช่ลู่หาน ข้าก็ไม่รู้แล้วลี่จูว่าต้องยืมมือใครให้มาช่วยกันพวกนางออกไปเสีย แม่ข้าเอ็นดูเขายิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ อย่างข้าด้วยซ้ำ และข้าเองก็รู้ดีว่าครั้งนี้ท่านแม่ไม่ได้คิดจะขู่ข้าเล่นเหมือนครั้งก่อน ไม่ใช่ว่าข้าอยากขอให้เขาต้องเอาชีวิตครึ่งปีมาทิ้งด้วย จะให้พาเจ้าเข้าบ้านก็ใช่ว่าข้าไม่เคยคิดทำ แต่เจ้าเคยบอกข้าเอาไว้ไม่ใช่หรือว่าไม่เพียงแต่แม่ข้าไม่ชอบเจ้า แม่เจ้าเอง…ก็ใช่จะถูกใจแม่ข้า’
แต่เรื่องพวกนั้นผ่านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ข้าเพียงแต่…’
หากเจ้าไม่อยากให้ทำ ข้าก็จะไม่ทำลี่จู’
‘……’
ขอแค่เจ้า…กล้าพอจะเดินไปหาแม่กับข้า สัญญาพวกนั้นจะกลายเป็นเพียงลมปากตั้งแต่นี้ บอกข้ามาคำเดียวเท่านั้นลี่จู แค่เพียงเจ้าบอก ข้าจะทำให้ทุกอย่างตามที่เจ้าขอ’


เพียงแต่…นางไม่ได้ขอให้เขาล้มเลิกวิวาห์กำมะลอนั่น

ไม่มีคำพูดนับจากนั้นหรือมือที่ยื่นมาให้อย่างที่คิด คล้ายกำลังน้ำท่วมปากไม่รู้จะแบกหน้าหรือคิดทางไหนเพื่อหาทางออกนอกจากต้องยืมมือลู่หานเพื่อนสนิทเขาเข้ามาช่วย

ได้พบกันอีกครั้งหลังจากครั้งสุดท้ายที่ซื่อชวินหนีออกจากคืนเข้าหอเขาถึงได้ตระหนักรู้เสียยิ่งกว่าครั้งไหนในรอบเดือนที่ผ่านมาว่าจริงๆ แล้วที่ข้างกายตนตอนนี้ช่างบิดเบี้ยวไม่เหมือนกับภาพในหัวที่วาดเอาไว้แม้แต่น้อย มาบัดนี้มันผิดเพี้ยนเสียจนซื่อชวินไม่แน่ใจว่ากำลังเดินถูกทาง

มือหนากุมหน้าพลางคิดไม่ตก มื้อเย็นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเต็มแก้มและเสียงหัวเราะแสนซนของเจ้าบ้านอย่างลู่หานผ่านไปแล้ว เสียงน้ำกระเซ็นนี่ต่างหากที่พอจะเรียกสติเขากลับมา ห้องนอนของบ้านตระกูลลู่ไม่ได้กว้างขวางเอิกเกริกอย่างบ้านเขาหรอก ทว่าก็ไม่ได้คับแคบซ้ำยังอัดแน่นไปด้วยความอบอุ่นคณานับ

แก้วตาดวงใจคนเดียวของพ่อปานนั้น จะไม่ให้รักล้อมรอบจนอุ่นซ่านได้หรือ

เพียงแค่นึกถึงมุมปากก็ตั้งท่าจุดรอยยิ้มรอเสียแล้ว เสียงประตูเลื่อนออกพร้อมเจ้าของห้องในชุดนอนสีอ่อน เจ้าตัวเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘นั่นเจ้าทำอะไรอยู่’ ไม่ทันไรก็นั่งตรงข้ามก่อนเช็ดผมที่ลู่ลงจนหมาดต่อหน้า ซื่อชวินยื่นมือพลางกระดิกนิ้วยิกๆ ร้อนให้คนถูกทวงถามหน้าฉงน

กระดิกนิ้วขออะไรของเจ้า กินข้าวไม่อิ่มหรือรึอยากร้องไห้กลับบ้าน?”

เจ้านี่! พูดดีๆ ไม่ยอกย้อนข้าสักคำไม่ได้เลยสินะ ข้ากินข้าวไปตั้งสามถ้วยจะไม่อิ่มได้หรือ ที่กระดิกนิ้วยิกๆ เพราะอยากได้ผ้าเช็ดผมในมือเจ้าต่างหาก”

อยากได้ผ้าเช็ดผมหรือ…มาแปลกแบบนี้สิยิ่งทำให้ลู่หานส่ายหน้าเข้าไปใหญ่…

ตัวเจ้าเหม็นฉึ่งก็ไปอาบน้ำสิ มายกแขนดมอะไรเล่า…”

ไม่เห็นจะเหม็นอยากที่เจ้าบอกสักนิด” เหนียวตัวน่ะใช่ ซื่อชวินยังไม่อาบน้ำก็ถูก เล่นตัวนักเจ้าเปี๊ยกนี่ คนใจร้อนผลีผลามอย่างเขาก็ไม่คิดนั่งเฉยรอให้ลู่หานยื่นมือให้หรอก ฉวยเอาจากมือน้อยๆ ที่ชอบรังแกกันมาเสียก็จบเรื่อง ยิ้มเยาะให้มากเท่าไรคนหัวเปียกยิ่งหน้างุ้มมากเท่านั้น “ข้าแค่จะเช็ดผมให้ ไม่ได้จะแกล้งเจ้าสักหน่อย อุปกรณ์วาดรูปเจ้ากองเต็มโต๊ะออกปานนี้ กว่าจะเช็ดผมเสร็จแล้วเก็บของได้เมื่อไรจะได้นอนหือ”

“……”

ไม่ได้ทำให้ครั้งแรกเสียหน่อย น้ำก็เคยอาบด้วยกันทำเป็นอายไปได้”

ข้าอายุแปดขวบส่วนเจ้ากำลังดื้อได้ที่เป็นพี่ปีเดียวน่ะหรือที่เจ้าหมายถึง ทำมาพูด…”

เหตุใดจึงไม่ขยายความไปด้วยเล่าว่านั่นมันตอนที่ยังเดินแล้วสะดุดล้มด้วยซ้ำน่ะ

ข้าก็โตขึ้นมากเชียวนะจากตอนนั้นน่ะ เผื่อเจ้าจะอยากรู้”

เสียงกลั้วหัวเราะคลออยู่ด้านหลังพร้อมมือที่ค่อยๆ ซับน้ำจากปลายผมถึงได้ชวนให้ลู่หานตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกอยู่แบบนี้ ของวางทั่วโต๊ะก็ใช่ว่าอู๋ซื่อชวินจะพูดมั่ว ลู่หานวางมันเอาไว้เสียทั่วเพราะตั้งใจจะหอบอุปกรณ์ครบชุดไปเข้าเฝ้าองค์ชายแปดที่ตำหนัก ทว่า…ทุกครั้งที่ ใครบางคน เช็ดผมให้อย่างเบามือนั้น

ยากเหลือเกินกับการต้องจดจ่ออยู่กับของตรงหน้าเช่นนี้…

เจ้าทึ่มนี่…บทจะพิถีพิถัน ม…มัน…

ตัวแข็งเป็นหินแบบนี้ คิดอะไรอยู่หรือลู่หาน”

ตอนแรกว่าไม่คิด เล่นมากระซิบข้างหูมันเลยเพลี้ยงพล้ำพลอยคิดเข้าให้

ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นหรอกที่ลู่หานพลิกตัวกลับแล้วประจันหน้ากับเจ้าบ้าอู๋ซื่อชวินตรงๆ เจ้าทึ่มที่ชอบเรียกไม่ได้ตัวเหม็นฉึ่งอย่างคำกล่าวหา รอยยิ้มประดับหน้าที่มีให้เสมอมองกี่คราวก็ติดเล่นเสียทุกครั้ง คล้ายจะเหมือนเก่าแต่ลึกๆ แล้วความรู้สึกมันฟ้องนักว่าไม่ใช่ ร้อนรนให้คนจ้องอย่างลู่หานอยากหลบตานักแต่ทำไม่ได้
ถึงได้เงยหน้าพลางถามเสียงแข็งเช่นทุกที

เฉไฉพูดเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเหมือนทุกครั้ง

กลบให้มิดเสียเพราะกลัวเหลือเกินว่าจะไปขุดอะไรขึ้นมาเข้า

คิดว่าเจ้าจะมาไม้ไหนขอให้ข้าทำอะไรอีกน่ะสิถึงได้มาทำดีด้วย”

กำลังทำหน้าที่ สามีแสนดี’ ต่างหากล่ะ”

ลู่หานมุ่ยหน้า ไม่บอกซื่อชวินหรอกว่าสบายไม่เบายามนั่งนิ่งให้เขาเช็ดผมให้แบบนี้ จะว่าไปแล้ว…สามีแสนดี…อย่างนั้นหรือ แค่คิดตามก็เผลอแค่นหัวเราะออกมาเรียกให้เจ้าทึ่มนี่มองกันตาขวางเข้าแล้ว ทำหน้าพร้อมจะมีเรื่องแบบนี้น่ะหรือถึงได้กล้าพูดเต็มปากว่า ‘แสนดี’ เห็นทีจะมีแต่ ‘แสนร้าย’ ทั้งนั้น

อยู่กันสองคนไม่ต้องมาเล่นละครกับข้าเลย เอามานี่ ข้าทำเองดีกว่า สามงสามีอะไรกัน หนึ่งเดือนมานี้ข้านอนหันหลังให้แทบจะถีบเจ้าตกจากเตียงเสียด้วยซ้ำ เจ้ารู้เต็มอกว่าเราแกล้งทำเป็นรักกันต่อหน้าแม่เจ้าคนเดียวหรอก รอให้พ้นช่วงนี้ไปก่อนเถิดเจ้าสิจะรีบเฉดหัวข้าทิ้งแทบไม่ทัน”

พูดเหมือนไม่แยแส สัญญาระหว่างกันเป็นเพียงกระดาษหาใช่ใจพันผูก

เรียกให้คนฟังอย่างอู๋ซื่อชวินขมวดคิ้วเสียจนยุ่ง ในอกเขาร้อนรนสับสน สลัดภาพลี่จูที่มองมือตนกุมลู่หานไม่ได้อย่างไรก็สลัดคำพูดคล้ายไม่สนใจของลู่หานไม่ได้ไม่ต่างกัน รู้ดีว่านับจากนี้เราเพียงแสร้งเล่นละครเลื่อนสถานะปลอมๆ ขยับจาก ‘เพื่อนสนิท’ เป็น ‘สามีภรรยา’ แต่มัน…

ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อดทนเอาหน่อยเล่า อีกห้าเดือนเจ้าก็เป็นอิสระแล้ว ข้าจะรีบหาทางทำให้แม่เลิกทิฐิในใจที่มีแต่ลี่จูและแม่นางให้ได้ ทนได้ไหมล่ะ ห้าเดือนที่ต้องทนนับคนทึ่มอย่างข้าเป็นสามีน่ะ”

อ…อะไรของเจ้าบ้านี่! ทำตัวเหมือนโกรธกันอยู่ได้! ...

พูดจามั่วซั่วนัก ของขาดอยากดื่มเหล้าหรือถึงได้อารมณ์แปรปรวนเหลือเกิน ไม่ชวนคิมจงอินเพื่อนองครักษ์เจ้าไปเมาด้วยกันแล้วดื่มไปสักไหเลยเล่า อยู่ดีๆ มาทำหน้าขึงขังใส่ข้าทำไมกัน หรือว่าเจ้ามีเรื่องอยากขอข้าอีกจริงๆ หรือถึงได้ขัดใจนักเวลาข้าพูด เช่นนั้นก็รีบบอกมะส…”

อยากอาบน้ำ”

ใครกันแน่ที่ทึ่มซื่อชวินไม่มั่นใจ

พอจะตีความได้หรือเปล่าเถิดว่าเขาพูดตัดเรื่องดื้อๆ ไปอย่างนั้นเพราะอะไร อยากทึ้งหัวตนเองแต่ทำไม่ได้ไปมากกว่าเบือนหน้าหนีราวกับคนโง่เง่าที่กลัวเพื่อนไม่ทำตาม สิ้นคำพูดว่า ‘อยากอาบน้ำ’ ถึงได้พาลให้ลู่หานตีความไปต่างๆ นานา เสียจนเลิ่กลั่ก มือเผลอกุมชายเสื้อเจ้าทึ่มอย่างช่วยไม่ได้

อยากอาบน้ำแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า” สะบัดหน้าทำเมินแล้วแต่ท่าจะรั้งไม่ไหว “ไม่มีมือหรือรึขาเจ้าด้วน”

ก็ข้าเพิ่งทำหน้าที่ ‘สามีแสนดี’ ไปเมื่อครู่ เจ้าจะปล่อยให้ข้าทำอยู่คนเดียวหรือ ไม่คิดอยากลองทำตัวเป็น ‘ภรรยาผู้น่ารัก’ กับข้าบ้างหรือไร ฝึกเอาไว้อย่างที่เจ้าบอกว่าเราจำต้องเล่นละครต่อหน้าท่านแม่อย่างไรเล่า รู้อะไรหรือไหมลู่หาน…”

ไม่อยากรู้!”

แต่ข้าอยากบอก”

ไม่เอา ข้าจะปิดหูไม่ฟังคำจะ…”

ร้ายร้ายนัก…บอกว่าไม่ฟังแต่เจ้าก็ยัง…

ไม่รู้ทำไมแม่ข้าถึงได้พูดกรอกหูข้านักว่าอยากมี ‘หลาน’ เจ้าเป็นผู้ชายจะมีหลานให้ได้อย่างไร หรือข้าควรเล่นละครทำอะไรสักอย่างดี เช่นนั้นแล้ว…เราไม่ควรต้องซักซ้อมแสดงความสนิทสนมให้มากกว่าเดิมหน่อยหรือ อาบน้ำให้ข้าแค่นี้หรือเจ้ามีปัญหา กล้ามคนทึ่ม ขาแข้งก็คนทึ่ม ทึ่มๆ อย่างข้าเจ้าเอาตะเกียงฟาดทีก็สลบแล้วน่า”

ห่วยแตกเหลือเกินกับคำพูดชวนให้คล้อยตามนี่ ไม่ควรจะทำให้ลู่หานคล้อยตามเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่สีหน้าเยาะเย้ยราวกับมีเสียงถามแม้ไม่ได้พูดว่า ‘หรือเจ้าไม่กล้า’ รึไม่ก็ ‘อาบน้ำให้ข้าทำเจ้าลำบากมากนักหรืออย่างไร’ มันปลุกสัญชาตญาณคนรั้นให้แล่นพล่านนัก

นึกว่าลู่หานพิศวาสนักหรือ มีเหมือนๆ กันมองมาตั้งแต่ตัวยังไม่พ้นต้นหญ้าใครมันจะไปคิดอะไรด้วยกัน!

หากเจ้ารุ่มร่ามกับข้าล่ะก็ ข้าจะฟาดให้หัวแบะด้วยตะเกียงแน่คอยดูเถิด

กลัวหัวจะไม่แบะนี่สิ 

ต่อให้ข้าทำจริงเจ้าก็ไม่กล้าทุบจนหัวข้าเลือดออกหรอก”

มั่นใจนักนะ”

ซื่อชวินโคลงหัวพลางยิ้ม เลื่อนประตูห้องอาบน้ำให้อ้ากว้างขณะมือปลดสายคาดเอวออกเรื่อยยามปากพูด ไม่ปฏิเสธหรอกว่าในหัวหนักอึ้งขนาดไหนที่ยังสลัดเรื่องหนักอกไม่ออก ย้ำแน่นนักตอกลึกลงใจว่าตนช่างเห็นแก่ตัวนักที่เลือกจะทำเช่นนี้ทั้งที่ยังสะสางเรื่องในใจไม่ได้

องครักษ์หน้าทึ่มเอี้ยวหน้าพลางก้มหา ซื่อชวินนึกอยากจับมือลู่หาน ทว่าใจหนึ่งกลับบอกเขาและร้องห้ามว่าอย่า’ ใจที่ร้องห้ามมันถึงได้แสดงออกอย่างที่คนรับไม่คาดฝัน ดึงดันนักที่ทำลงไปแต่ห้ามไม่ได้ สะกิดเสี้ยวหนึ่งของความสัมพันธ์ที่คล้ายจะหยุดอยู่กับที่มานานปีให้ออกเดินและยากจะรั้งกลับ

เราต่างไม่รู้ว่าเส้นด้ายความสัมพันธ์นั้นอยู่ที่ใด…

จะเปราะบางขนาดไหน หากเผลอไปสะกิดมันเข้า…

ข้าไม่ได้มั่นใจอะไรเลยต่างหาก”

แล้วยังกล้ามาบอกว่าข้าไม่กล้าทำเจ้าหรือ” ยามถาม แก้วตาพราวระยับ “พูดมาดีๆ สักคำเดี๋ยวนี้เลย”

อยากฟังจริงหรือ”

“……”

เพราะเป็นเจ้าต่างหากเล่า ข้าถึงกล้าพูด”

แม้มือไม่ได้กุมเอาไว้อย่างตอนหัววัน แต่เสี้ยวหน้าที่กระเซ้าชิดใกล้ทีละน้อยนี่ต่างหากเล่าที่คล้ายจะเล่นกลปลิดหัวใจนัดวาดตัวน้อยทีละนิด ช่างรบเร้าควรทำให้น่ารำคาญและผลักไส สั่งใจลงไปกว่าสะบัดออกเสียเถิดแต่กลับรั้งใจให้แนบหน้าตอบไม่ได้ น้ำเสียงค่อยๆ ดังเคล้า กลบเกลื่อนด้วยสิ่งใดก็จวนจะไม่มิด ทั้งที่เราชอบทะเลาะกันจนเบื่อหน้า ทั้งที่คิดอยากก้าวถอยหนีแต่ทำไมถึงทำไม่ไหว

ลมหายใจรินรดตรงปรอยผม ยามเจ้าทึ่มอู๋ซื่อชวินขยับปากช่างคล้ายปุยนุ่นนัก

ไม่อย่างนั้นเจ้าคงปฏิเสธข้าตั้งแต่คำขอนั้นออกจากปากให้เจ้าได้ยินแล้ว”

...คำขอสิ้นคิดว่าแต่งงานกันเถิดที่เขาพูดออกไปวันนั้น...

และลู่หานยอมรับอย่างหมดท่าว่าซื่อชวินพูดถูกทุกคำ เอาเข้าจริงจะมีแรงถือตะเกียงฟาดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ต่อให้ปากเก่งยกมันเหนือหัวแต่หากเห็นเจ้าทึ่มตรงหน้าที่คอยข้องแวะเลือดตกสักหยกประเดี๋ยวก็คงได้น้ำตาคลอรีบวิ่งโล่ตามคนมาช่วยอย่างทุกครั้ง ระหว่างเราเป็นเช่นนั้นมาเสมอเสียจนเคยชิน
เสียงเรียกชื่ออ้อยอิ่งที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะถูกใช้จึงหลุดออกไปดื้อๆ 

ซื่อชวิน…”

และในความจริงแล้วเราสองคนอาจไม่อยากผละแก้มหนีสักนิดในเวลานี้

ลมหายใจลู่หานมันติดขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ เหตุการณ์พวกนี้วนมาครั้งแล้วครั้งเล่าบ่อยเหลือเกินและช่างเล่นกับใจจนกลัวจะคล้อยตามนัก หากยอมรับออกไปว่าตัวเองผินหน้าคล้ายตอบรับคงน่าอายเสียยิ่งกว่าสิ่งไหน เพียงแต่…ความจริงแล้วอาจต้องยอมรับว่าสิ่งที่ ‘เรา’ กำลังทำอยู่ไม่ต่างจากคำนั้นแม้แต่น้อย

หรือข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”

ไม่ทำแบบนี้นะเจ้าทึ่ม”

อย่าส่งสายตาคล้ายจะมีความนัยทั้งที่ไม่ควรมีเช่นนั้น

ลู่หานไม่ใช่คนที่เจ้าเพื่อนบ้านี่สมควรส่งสายตาแฝงสิ่งใดให้ทั้งนั้นนอกจากไมตรีฉันมิตรสหาย — เพียงมิตรสหาย… แค่คำสั้นๆ ฟ้องในหัวเท้าก็ถอยกรูดเบือนหน้าหนีฉับพลัน ทิ้งไออุ่นข้างแก้มที่ราวกับยังคลอเคลียให้เกาะรอบตัวไม่จาง โหยหายอย่างไร รู้สึกแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอาวรณ์สักนิด

ชักจะไปกันใหญ่แล้ว จะบานปลายไปเสียยิ่งกว่าละครฉากหนึ่งได้อย่างไร

ก็…เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้ข้าทนเอาอีกห้าเดือน เจ้าเองก็อดทนด้วยสิถึงจะถูก หาก…หากอยากหาหญิงใดมากอดแก้ขัดก็พาจงอินเพื่อนเจ้าไปเข้าหอคณิกาเสียสิ เรื่องอะไรมาแกล้งข้าเล่า! ข้า…ข้าเป็น…”

ข้าไม่ได้อยากเมาแล้วเที่ยวไปกอดผู้หญิงที่ไหนสักหน่อย ข้าแค่อยากจะ…”

ข้าเป็นเพื่อนเจ้านะไอ้ทึ่มนี่!”

ถึงได้จำต้องย้ำความจริงข้อใหญ่ให้ ‘เรา’ สองคนจำเอาไว้

ตะโกนกร้าวออกไปถึงได้ทำให้อู๋ซื่อชวินหยุดนิ่งอยู่กับที่ มองแพขนตาของคนที่เบือนหน้าหนีแล้วเสียงร้องในใจยิ่งยุบยิบหนัก ยามลู่หานเม้มปากคล้ายวนคิดหาคำพูดมาเสริมไม่ต่างเลยกับการปล่อยให้เขาหยุดคิดพร้อมๆ กับการห้ามตัวเองให้อยู่กับที่อย่าได้คิดทำอะไรอีกที่ล้ำเส้น

“……”

“……”

เจ้า…เจ้าห้ามแกล้งข้าแบบนี้อีก…”

จะบอกว่าอย่างไรดีถึงจะชัดพอว่าเขาไม่ได้แกล้ง

ซื่อชวินรู้สึกเหมือนกำลังร้อนรนจนยืนไม่ติดที่ทั้งที่สมองสั่งห้าม กลืนคำพูดลงคอไปเสียดีกว่าหากบอกออกไปแล้วจะทำให้บรรยากาศระหว่างเรากระอักกระอ่วนกว่าเก่า หากเขาทำได้อย่างที่คิดเรื่องมันคงไม่วุ่นเสียจนแก้ไม่ออกอย่างนี้แน่ คนที่ปากไวโพล่งไปเร็วกว่าสมองสั่ง ตอกย้ำอีกครั้งว่าเขามันเห็นแก่ตัวเหลือเกิน

ที่ผ่านมาข้าเคยแกล้งเจ้าอย่างนี้หรือ ข้ารู้ว่าคงแปลกนักหากพูดแบบนี้ ตลอดหนึ่งเดือนนี้ไม่รู้อะไรเข้าสิงข้านัก ข้าว่าข้าคงท่าจะบ้า แต่วะ…”

อย่าห ห้ามพูดนะ!”

ลู่หาน…”

“...…”

“...…”

อ…อย่าพูดออกมาเชียวเจ้าทึ่ม”

ไม่ว่าอะไรก็ห้ามพูดออกมาอย่างเด็ดขาด

เพราะลู่หานกลัวจับใจว่าหากซื่อชวินพลั้งปากพูดคำใดออกมาทั้งที่ไม่ตั้งใจจะสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างเราจนไม่อาจย้อนกลับได้ ไม่ว่าคำใดก็อย่าพูด ไม่ว่าประโยคไหนก็อย่าได้พลั้งพลาด อย่าได้เผลอข้ามเส้นคำว่า ‘เพื่อน’ ที่เป็นมาเลย อย่าได้ทำให้สัญญาหนึ่งฉบับพลิกเส้นด้ายความสัมพันธ์ฉันมิตรเป็นอื่น

เพราะเราเป็นเพื่อนกันไม่มีสถานะอื่นข้องเกี่ยว

เพื่อนกันอย่างที่เจ้าพูดเอาไว้หลังสัญญาระหว่างกันจบลง







๓๐/๑๐๐
 #วาดหัวใจเขียนรัก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม